ขอให้ผม…เป็นชีวิตสุดท้าย!(2)
เรื่อง: อุเทน ภุมรินทร์ ภาพ: ประภาพรรณ โปร่งสันเทียะ
2.
“โถ จะมีสักกี่คนกันเชียว ที่รู้ว่า ผมไม่ใช่สัตว์เลี้ยง!!!” ผมถอนหายใจส่ายหัว พร้อมขยับตัวมาที่มุมกรง
ในกรงอับชื้น และสกปรก ตามพื้นกรงเต็มไปด้วยขยะ บ้างเป็นกิ่งไม้ ไม้ลูกชิ้น ฯลฯ ตามแต่ผู้ชมมือบอน จะแหย่ยุเข้ามาในกรง เพื่อให้ผมเงยหน้าเผยตาให้พวกเขาเห็น
“ตัวอะไรนะเธอ ทำไม มันขี้อายจังอ่ะ” สาววัยรุ่นนางหนึ่ง ถามกลุ่มเพื่อนสาวที่มาด้วยกัน
“นี่มัน ตัวนางอาย” เด็กสาวคนหนึ่งในกลุ่มตอบเพื่อน เธอเคยเห็นพี่สาวของเธอซื้อให้แฟนหนุ่มที่มหา’ลัยในขณะที่ขยิบตาโตคู่หวานด้วย “บิ๊กอาย” ของเธอ
“ไม่เห็นมันจะยอมให้ดูหน้าตาเลยว่า หล่อเกาหลีหรือเปล่าอ่ะ”
“ไปดูกรงอื่นเถอะ เดี๋ยวได้ไปปล่อยนก ปล่อยเต่ากันอ่ะ อิอิ”
“พวกเธอ คงไม่รู้เลยสินะ ว่าธรรมชาติได้สร้างผม ให้มีดวงตากลมโต เพื่อช่วยในการมองเห็นหากินในตอนกลางคืน แต่วิวัฒนาการอันยาวนานของธรรมชาติที่มีผลประโยชน์ กลับกลายเป็นโทษต่อเรา เมื่อคนคิดเห็นว่า ตากลมๆ ของเราน่ารักน่าเลี้ยง ตาโตๆ ของผมมีรูรับแสงที่ใหญ่ตามไปด้วย ในตอนกลางวันแสงจ้าๆ ผมแสบตาทรมาน คนหนอ ยังชอบบังคับให้ผมเงยหน้าขึ้นมาอีก”
แมลงสาบหลายตัวไต่ไปมายั้วเยี้ยในกรง หลังจากกินข้าวเศษอาหารก้นบาตรมาหลายวัน ด้วยความหิวทรมาน ผมตัดสินใจคว้าหมับ จับเอาแมลงสาบตัวหนึ่งใส่ปาก พอกัดเข้าไปเท่านั้นเอง ยังไม่ทันได้กลืนให้หายหิว ผมกลับต้องรีบคายมันทิ้งออกมา ด้วยความเหม็นฉุนกึกขึ้นจมูก
อาหารของลิงลมอย่างผมเป็นพวกสัตว์ตัวเล็กๆ อย่างแมลง เช่น ตั๊กแตน จิ้งหรีด หรือกิ้งก่า ลูกนกเล็กๆ ผมยังจำได้ว่า ก่อนที่จะถูกคนใจร้ายพรากมาจากป่า ตอนอายุยังไม่กี่เดือน ผมเกาะที่หลังแม่เวลาแม่ออกหากินในตอนกลางคืน เมื่อเจออาหารอย่างแมลงเกาะอยู่บนกิ่งไม้ แม่จะยืนตัวสองขาหลัง และจับเหยื่ออย่างรวดเร็วแทบไม่มีพลาด แม่มักกินเหยื่อที่จับได้ไปทั้งตัวเลย ส่วนผมนั้น ยังเป็นเด็กน้อยวัยละอ่อน ยังไม่ประสีประสาขาแข็ง เลยต้องอาศัยนมแม่ที่หอมหวานไปก่อน พอนึกขึ้นมาทีไร ผมก็เห็นภาพป่าไม้ “บ้าน” ที่แท้จริงหลังแรกของผม อยู่ในมโนสำนึกตลอดเวลา
แต่ดูชีวิตของผมตอนนี้สิ ไม่มีแม้อิสระ และอาหารที่ถูกนิสัย พอเห็นเราหน้าตาเหมือนลิงก็คิดจะให้กินแต่กล้วย หรือไม่ก็กินข้าวแบบคน! คนหนอ พวกเขาเคยสนใจไหมว่า สัตว์ที่ตนเองซื้อมานั้นคือตัวอะไร ? กินอาหารอะไรบ้าง ? มีชีวิตความเป็นอยู่และมีนิสัยอย่างไร ? รวมถึงมีอันตรายอย่างใดกับผู้เลี้ยงบ้าง ? นอกจากซื้อเราเพียงเพราะความน่ารัก ราคาถูกกว่าสัตว์อื่นหรือสงสารพวกเราเท่านั้นเอง?
บิ๊กอายก็เช่นเดียวกันกับเพื่อนๆ พี่ๆ อีกหลายตัว ที่ต่างถูกแยกใส่กรงอยู่ห่างๆ กัน เป็น “ดาราหน้าวัด” ให้คนที่มาทำบุญถ่ายรูปเท่านั้นเอง! นอกจากผมแล้วยังมีเจ้าค่างแว่นถิ่นใต้จอมดุ ที่มันโดน “ตัดหางปล่อยวัด” อย่างนี้ เพราะดันไปกัดลูกชายเจ้านายมันเข้า เจ้านายมันจึงตัดสินใจผลักภาระให้กับทางวัด โดยที่เจ้าของมันไม่เคยรับรู้หรือสนใจศึกษาชีวิตสัตว์ที่เขาจะเลี้ยงเลยว่า อารมณ์หงุดหงิดของพวกเรา เพียงเพราะต้องการมีคู่หรือสืบพันธุ์ตามสัญชาตญาณเท่านั้นเอง
เล่าเรื่องของเจ้าค่างแว่น ก็ไม่ต่างจากเรื่องของบิ๊กอายเลย วันนั้นผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ถึงก้าวร้าวและทำกับเธออย่างนั้น พอเจ้าของนักศึกษาสาวกลับมาจากมหา’ ลัยและเข้ามาเล่นทักทายกับผมตามปกติ ผมหงุดหงิดมาก และไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลย จึงกัดเข้าที่นิ้วชี้ของเธอ แม้ฟันเขี้ยวของผมจะถูกตัดออกแล้ว แต่ผมก็ยังกัดเธอจนเป็นแผลได้เลือด เธอโมโหผมมาก
แล้วผมก็ได้ยินเธอกับแม่พูดกันว่า
“แม่บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่า อย่าเลี้ยง แล้วเป็นไง”
“โธ่ ใครจะไปรู้ล่ะแม่ ว่าไอ้ลิงบ้านี่ มันจะกัดหนูอ่ะ”
“แล้วจะเอายังไงกับมันต่อล่ะ”
“จะเอามันไปไหนก็เอาไปเหอะ เห็นพ่อบอกว่ามีวัดที่มีคนเอาสัตว์ไปฝากตั้งหลายที่ เอามันไปไว้ที่นั่นก็ได้”
เธอสงสัยในความหงุดหงิดผิดปกติของผม เลยโทรไปหาอาหมอที่โรงพยาบาลสัตว์ด้วยความข้องใจ ผมได้ยินเธอเล่าให้แม่ของเธอฟังหลังจากกลับมาจากทำแผลที่โรงพยาบาลว่า “ที่เจ้า “บิ๊กอาย” มันหงุดหงิดเนี่ย คุณหมอเขาบอกว่า อย่าไปแหย่มัน เพราะถึงช่วงเวลาที่มันพร้อมผสมพันธุ์ มันมีความต้องการทางเพศ มันจึงหงุดหงิดมากและทำร้ายเอา”
แต่ไม่ใช่สาเหตุเดียวหรอกที่เธอเริ่มไม่รักผม และพยายามมองหา “บ้าน” ใหม่ให้ สาเหตุจริงๆ แล้ว เพราะเธอมีสัตว์เลี้ยงตัวใหม่มาแทนผม หลังจากวันวาเลนไทน์ ผมเห็นแฟนเธอ พ่อนักศึกษาหนุ่ม มาพร้อม ‘ของขวัญ’ ในกระเป๋ากำมะหยี่ทรงสี่เหลี่ยมใบเล็ก แฟนหนุ่มของเธอรูดซิปที่เป็นฝาเปิดด้านบนกระเป๋า แล้วจับสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ ของขวัญวันแห่งความรัก (วันแห่งความรัก แต่มีไม่น้อยที่หนุ่มสาวเลือกซื้อชีวิตจากป่ามาทรมาน!!!)
หน้าตามันคล้ายหนูตัวไม่โตนัก มีดวงตากลมโตเหมือนผม เดาว่าเวลาอยู่ในป่า มันคงหากินเวลากลางคืนเหมือนผมแน่ๆ เห็นแฟนหนุ่มเธอโม้ใหญ่ว่า เจ้าตัวนี้มีกระเป๋าหน้าท้องด้วย เพราะเป็นตัวเมีย แล้วบอกแฟนสาวเจ้าของผมว่า มันเป็นสัตว์ตระกูลจิงโจ้ แล้วมันก็มีหนังเป็นพังผืดยื่นออกมาตรงด้านข้างลำตัวทั้งสองด้าน ระหว่างขาหน้าและขาหลัง ผมก็รู้ได้ทันทีเลยว่าเจ้า “จิงโจ้จิ๋ว” มันต้องสามารถร่อนคล้ายๆ บินได้แน่ๆ เพราะผมยังจำได้เมื่อตอนเล็กๆ ก่อนถูกพรากจากป่า เคยเจอกับคุณอากระรอกบิน ที่ออกหากินกลางคืนเหมือนกับแม่ของผม คุณอาสามารถร่อนจากต้นไม้ต้นหนึ่งไปหาอีกต้นหนึ่ง จนมองตามแทบไม่ทัน แต่แม่บอกว่าคุณอากระรอกบินเตือนให้เราระวังสัตว์สองขาใจร้าย เพราะเมียและลูกวัยน่ารักของอาอีกสามตัว ก็ถูกขโมยไป อากระรอกบินก็แทบหนีเอาตัวไม่รอด ได้ยินพวกมันคุยกันว่า จะเอาไปขายให้พ่อค้าในเมือง เขามาหาซื้อ เพราะคนในเมืองชอบเลี้ยงสัตว์ป่าไว้ทรมาน!!!
เธอเรียกสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ว่า “ซูการ์ ไกเดอร์” อะไรสักอย่าง ชื่อมันยาวจำยากเหลือเกิน แถมไม่อยากจะจำด้วย เพราะมันแย่งความรักไปจากผม แต่ก็นึกเห็นใจนางซูการ์เหมือนกัน เพราะวันๆ มันก็ต้องอยู่ในกล่องแคบๆ แถมต้องออกโชว์ตัวตอนกลางวันแสงแดดจ้าบ่อยๆ ให้ทรมานลูกตาเหมือนกันกับผม
ผมยังโชคดีอยู่บ้าง ที่เจ้าของผลักภาระให้วัดเลี้ยงดู เพราะสัตว์ป่าที่ถูกเลี้ยงมาบ้างตัว เมื่อโตเต็มวัยแล้ว สัญชาตญาณต่างๆ ที่มีอยู่ในตัวอาจทำให้มันกลายเป็นสัตวที่ก้าวร้าวได้ โดยเฉพาะช่วงเวลาของการสืบทอดเผ่าพันธุ์ พวกเราจึงมักถูกลงโทษด้วยการถูกนำไปปล่อยป่า ซึ่งเป็นวิธีที่สิ้นคิดและโหดร้ายกว่าเอาฝากวัดมาก เท่ากับส่งพวกเราไปตายอย่างแท้จริง เพราะพวกเราถูกมนุษย์เลี้ยงมาตั้งแต่เล็ก ไม่หลงเหลือสัญชาติญาณป่า หากินด้วยตัวเองไม่เป็นแล้ว และที่สำคัญ คือ เราไม่รู้จักศัตรูตามธรรมชาติของเราเลย อาจถูกฆ่าตาย อดตายหรือถูกจับมาขายอีกรอบก็เป็นได้
บิ๊กอายเอง อยากถามคนที่ซื้อสัตว์ป่ามาเลี้ยงเหลือเกินว่า เคยศึกษาชีวิตพวกเราบ้างไหมว่า มีความต้องการหรือมีพฤติกรรมอย่างไรบ้าง? ก่อนที่จะซื้อพวกเรามาจากยัยแม่ค้าขายสัตว์ในวันนั้น หรือเพราะแค่ความน่ารักโก้เก๋เพียงอย่างเดียว พอเห็นว่าบิ๊กอายก้าวร้าว ความรักความเอ็นดูที่เคยมีให้ก็หายไปจนหมดสิ้น สุดท้ายก็ผลักภาระให้กับวัดเป็นผู้เลี้ยงดูแบบอดๆ อยากๆ มองไปรอบกรงของบิ๊กอาย นอกจากกรงของเจ้าค่างแว่น แล้วก็ยังมีหมีควายตัวผอม และชะนีในกรงถัดไปอีก แสดงให้รู้ได้ว่า คงมีคนคิดเช่นเดียวกับเจ้าของบิ๊กอายอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน เพราะสัตว์เลี้ยงในกรงทั้งหลายที่อยู่ในวัดนี้ มาจากเจ้าของที่มีนิสัยอย่างเจ้าของเดิมของบิ๊กอายเสียส่วนมาก หลายตัวค่อยๆ ทยอยตายตามกันไป ที่เหลืออยู่ก็มีสภาพผอมโซไม่ชวนมองเช่นเดียวกับผม อีกไม่นาน ผมก็คงตามเพื่อนๆ ไปเหมือนกัน
แต่ก่อนที่บิ๊กอายจะตาย ขอได้ไหม? ขอให้ชีวิตผมเป็นชีวิตสุดท้ายที่โดนพรากจากป่า หากมันไม่มีทางเป็นจริงได้ ชีวิตน้อยๆ ทั้งหลายก็จะกลายเป็นตัวแสดงนำของละครน้ำเน่าเรื่องเดิมต่อไป โดยที่ฉากแรกอยู่ที่ตลาดค้าสัตว์จตุจักร จวนบทใกล้อวสาน ก็ถูกผลักไสให้กับวัดรับภาระสัตว์ป่าก้าวร้าว โดยมีคนอีกหลายคนที่หน้ามืดตามัวดำเนินเรื่อง บังคับให้ละครถึงตอนจบ (ไม่) บริบูรณ์ด้วยความเศร้า แล้วละครก็ดำเนินเรื่องใหม่อีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยมี ”ดารานำ” ตัวใหม่ที่โดนพรากมาจากป่าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ละครจบลงแล้ว “ดารานำ” ตายไปแล้ว แต่ไม่มีแม้แต่น้ำตาให้กับดารานำ ไม่ว่ามันจะถูกฉายซ้ำอีกสักกี่พันครั้งก็ตาม
เอกสารและสิ่งอ้างอิง
วัชระ สงวนสมบัติ. 2547. นางอาย, น. 303-315. ใน วัชระ สงวนสมบัติ, โดม ประทุมทอง, สมชัย เสริมสินเจริญชัยกุล และอรุณ ร้อยศรี, บรรณาธิการ. Life on earth. บริษัท สำนักพิมพ์กรีนแมคพาย จำกัด
http://www.petgang.com/healthy/index.php?Group=17&Id=9
http://www.petgang.com/healthy/index.php?Group=17&Id=68
Comments
ความคิดเห็น
ความเห็นที่ 1
ความเห็นที่ 2
วันหลังคงมีโอกาสบ้าง แต่เรื่องนี้ตัวละครนำก็ช่างน่าเห็นใจซะจริง เพราะถึงแม้ว่าเรื่องของตัวละครนำตัวนีี้จะจบลง แต่ตัวละครอื่นๆยังคงมีการดำเนินไม่ต่างกัน....
ความเห็นที่ 3
หวังว่าการพยายามของท่านจะมีผลไปถึงชนรุ่นนี้และรุ่นหลังให้มีการเข้าใจในธรรมชาติ ให้คนมีหน้าที่ดูแลบ้านเมืองมีความคิดอันดี ขอให้มีคนมาอ่านเยอะ ^^
ความเห็นที่ 4
ทุกวันนี้สัตว์ป่าเหลือน้อยลงเรื่อยๆ คนไม่เข้าใจในการอนุรักษ์ทั้งป่าและสัตว์ ไม่มีจิตสำนึกที่ดีในการอนุรักษ์ป่าและสัตว์ป่าให้คงไว้
ช่วยกันทำให้คนทั่วๆไป ได้ตระหนักถึงคุณค่าของการคงอยู่ของป่าและโดยเฉพาะชีวิตสัตว์ป่ากันนะคะ