9 เรื่องที่คุณควรรู้เกี่ยวกับเขื่อนแม่วงก์
เขียนโดย นณณ์ Authenticated user เมื่อ 17 พฤษภาคม 2555
เรียบเรียง: ดร. นณณ์ ผาณิตวงศ์ @ siamensis.org
ข้อมูลจาก: มูลนิธิสืบนาคะเสถียร และ มูลนิธิโลกสีเขียว
1. ข้อมูลทั่วไป: เขื่อนแม่วงก์มีลักษณะเป็นเขื่อนหินทิ้งแกนดินเหนียวขนาดใหญ่ ความยาว 730 เมตร กว้าง 10 เมตร สูง 57 เมตร พื้นที่อ่างเก็บน้ำประมาณ 13,000 ไร่ อยู่ในอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ จ.กำแพงเพชรและจ.นครสวรรค์ปริมาณกักเก็บน้ำ 250 ล้านลูกบาศก์เมตร
2. ประมาณการค่าก่อสร้างของเขื่อนแม่วงก์เมื่อปี 2525 อยู่ที่ 3,761 ล้านบาท 2551 มีมูลค่า 7,000 ล้านบาท ในเว็บไซด์ของกรมชลประทานในวันที่ 31 สิงหาคม 2554 ระบุว่ามีมูลค่า 9,000 ล้านบาท แต่ เมื่อมีการอนุมัติงบประมาณ เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2555 มีมูลค่าก่อสร้างทั้งสิ้น 13,000 ล้านบาท (ตัวเลขการเพิ่มนี้ถ้าเทียบกับ ค่าเงินเฟ้อถือว่าอยู่ในระดับที่ยอมรับได้)
3. ถึงแม้ว่าพื้นที่น้ำท่วมจะเป็นแค่ 2% ของพื้นที่อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ หรือ 0.12% ของป่าตะวันตกทั้งหมด แต่พื้นที่ตรงนี้เป็นป่าที่ราบต่ำริมน้ำซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญในการหากินและขยายพันธุ์ของสัตว์ป่าในฤดูแล้ง ในปัจจุบันประเทศไทยเหลือป่าในพื้นที่ราบอยู่น้อยมาก สัตว์ป่าบางชนิด เช่น นกยูง ไม่สามารถบินขึ้นไป อาศัยอยู่บนเขาได้อย่างที่นักการเมืองเข้าใจ แต่นกยูง ต้องการลานหิน ลานทราย ริมน้ำเพื่อการ ป้อตัวเมีย ไม่สามารถไปกางหางอวดในป่ารกทึบได้ จากการสอบถามเจ้าหน้าที่อุทยานฯพบว่าป่าที่นักการเมืองกล่าวอ้างว่าเป็นป่าใหม่มีอายุไม่ถึง 30 ปีมีอยู่เพียงไม่กี่พันไร่ แต่ป่าด้านใน เป็นป่าไม้ที่สมบูรณ์มาก ในการสร้างเขื่อน ต้องทำการตัดไม้ออกจากพื้นที่ให้มากที่สุดเพื่อป้องกันน้ำเน่าเสีย น่าสนใจว่าไม้ขนาดใหญ่ (ซึ่งรวมถึงต้นสักด้วย) จะตกเป็นผลประโยชน์ของใคร
ภาพจาก: sky report
4. การก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์ จะทำให้สูญเสียพื้นที่ป่าไม้ในเขตอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ ไม่น้อยกว่า 13,000 ไร่ เป็นไม้ใหญ่ประมาณ 500,000 ต้น ซึ่งในจำนวนนี้มีไม้สักประมาณ 50,000 ต้น กล้าไม้อีก 10,000 ต้น หรือเปรียบ เทียบได้ว่าพื้นที่ป่า 1 ไร่ ที่จะถูกน้ำท่วมจะมีไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ 80 ต้นเป็น ไม้สัก 13 ต้น ลูกไม้ 576 ต้น และกล้าไม้อีก 1,880 ต้น จากการคำนวณพื้นที่ป่าที่จะสูญเสียไป จากการสร้างเขื่อนแม่วงก์ เมื่อคำนวณเป็น ปริมาณคาร์บอนที่ต้นไม้สามารถดูดซับไว้ได้นั้น หากมีการสร้างเขื่อนแม่วงก์ ประเทศไทยจะสูญเสียพื้นที่ที่ สามารถดูดซับคาร์บอนได้ประมาณ 10,400 ตันคาร์บอน ป่าแม่วงก์มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่อย่างน้อย 549 ชนิด และมีปลาอาศัยอยู่ในลำน้ำ 64 ชนิด (ใน EIA รายงานไว้ 61 แต่สำรวจเจอเพิ่มจากการลงพื้นที่อีก 3 ชนิด) ในจำนวนนี้มีเพียง 8 ชนิด หรือ 13% ที่สามารถผสมพันธุ์ในแหล่งน้ำนิ่งในอ่างเหนือเขื่อนได้นอกนั้นต้องอาศัยพื้นที่น้ำไหลหรือน้ำหลากซึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติ
5. จากเว็บไซด์ของกรมชลประทาน ลุ่มน้ำแม่วงก์มีพื้นที่รับน้ำฝน (water shed) 1,113 ตารางกิโลเมตร มีน้ำท่า 569 ล้าน ลูกบาศก์เมตร หรือมีน้ำ 0.52 ล้าน ลบ.ม./1 ตร.กม. ของพื้นที่รับน้ำ เมื่อเปรียบเทียบกับลุ่มน้ำทับเสลาซึ่งมีเขื่อนทับเสลาอยู่แล้ว ซึ่งมีพื้นที่รับน้ำฝน 534 ตร.กม. แต่มีน้ำท่า 124 ล้าน ลบ.ม. หรือมีน้ำ 0.23 ล้าน ลบ.ม./1 ตร.กม. ข้อสังเกตคือ พื้นที่ใกล้ๆกัน เขื่อนทับเสลาอยู่ทางใต้ของแม่วงก์เพียง 40 กม.ทำไมพื้นที่รับน้ำของเขื่อนแม่วงก์(ต่อตร.กม.)จึงมีน้ำมากกว่าพื้นที่รับน้ำของเขื่อนทับเสลาสองเท่ากว่าทั้งๆที่อยู่ในแนวเขาเดียวกัน ปริมาณฝนตกไม่น่าจะแตกต่างกันมากนัก ทั้งนี้ปีพ.ศ.2554 ซึ่งเป็นปีที่มีน้ำมาก เขื่อนทับเสลามีปริมาณน้ำในอ่างเพียง 49 ล้าน ลบ.ม. หรือ 31% ของความจุ และในปัจจุบัน ณ วันที่ 5 พค. 2555 ซึ่งเป็นปลายฤดูแล้งที่ควรจะมีการจัดส่งน้ำให้ทำการเกษตรในหน้าแล้ง ปรากฏว่ามีน้ำในอ่างที่ใช้การได้จริงเพียง 34 ล้าน ลบ.ม. หรือ 21% ของความจุเท่านั้น
ข้อมูลจาก: ศูนย์ประสานและติดตามสถานการณ์น้ำ กรมชลประทาน (http://www.thaiwater.net/DATA/REPORT/php/rid_bigcm.html)
เขื่อนทับเสลา พค. 2555 (ภาพ: มูลนิธิสืบฯ)
6. การช่วยบรรเทาน้ำท่วม: เขื่อนแม่วงก็มีอัตราการเก็บน้ำสูงสุดที่ 250 ล้าน ลบ.ม. ในขณะที่ปริมาณน้ำที่ท่วมภาคกลางเมื่อปลายปี 2554 มีถึง 16,000 ล้าน ลบ.ม. (ตัวเลขจาก ศปภ.) น้ำที่กักเก็บได้ทั้งหมดของเขื่อนแม่วงก์จึงคิดเป็นเพียงแค่ 2% ของปริมาณน้ำที่ท่วมที่ราบลุ่มภาคกลางในช่วงปลายปี 2554 หรือคิดเป็นปริมาณน้ำที่ไหลเข้าทุ่งเจ้าพระยาในช่วงที่น้ำไหลเข้ามากที่สุดเพียงแค่ ครึ่งวันกว่าเท่านั้น เช่นในวันที่ 21 ตค. 2554 ทีม กรุ๊ป ให้ข่าวว่าปริมาณน้ำที่ไหลเข้าสู่ทุ่งเจ้าพระยามีมากถึงวันละ 419 ล้าน ลบ.ม. เขื่อนแม่วงก์จึงสามารถช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วมภาคกลางได้น้อยมาก นอกจากนั้นแม้แต่พื้นที่ใกล้เคียง เช่น อ.ลาดยาว เขื่อนแม่วงก์ก็ช่วยเรื่องน้ำท่วมหลากได้เพียง 25% เนื่องจากน้ำที่ท่วมอ.ลาดยาวจริงๆแล้วมาจากหลายสาย และเป็นน้ำไหลบ่าจากทุ่ง ไม่ใช่จากน้ำแม่วงก์สายเดียว ทั้งนี้การบริหารจัดการเขื่อน ต้องคงเหลือน้ำไว้ในเขื่อนส่วนหนึ่ง จึงเป็นไปไม่ได้ที่เขื่อนแม่วงก์จะสามารถรับน้ำได้เต็ม 250 ล้าน ลบ.ม. ทุกปี
(ภาพ: มูลนิธิสืบฯ)
7. รายงานการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม(EIA) ทั้ง 4 ครั้งตั้งแต่ปี 2538, 2541, 2545 และ 2547 ไม่เคยผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม ซึ่งระบุให้กรมชลประทานไปหาวิธีจัดการน้ำแบบบูรณาการมากกว่าสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม ส่วนรายงานการศึกษาฉบับที่กำลังทำอยู่ในปัจจุบัน มีมูลค่าวงเงินตามสัญญา ประมาณ 15 ล้านบาท ก็มีแนวโน้มไม่โปร่งใส เนื่องจากมีการลัดขั้นตอน ตัดลดจำนวนการลงพื้นที่สำรวจความหลากหลายทางชีวภาพบางรายการ นอกจากนั้นกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยังได้มีหนังสือด่วนที่สุดเมื่อวันที่ 23 มีค. 2555 ถึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ให้ความเห็นว่าโครงการเขื่อนแม่วงก์ขัดต่อเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติและไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ ป่า และ พันธุ์พืช จะพิจารณาให้ดำเนินการได้
8. กรมชลประทานระบุว่าเขื่อนแม่วงก์จะสามารถส่งน้ำให้กับพื้นที่ชลประทานในฤดูฝนได้ 291,900 ไร่ พื้นที่ในฤดูแล้ง 116,545 ไร่ จากการลงพื้นที่ ปรากฏว่าในฤดูฝน ชาวบ้านใช้น้ำฝนและน้ำหลากทุ่งในการทำการเกษตรอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องพึ่งน้ำจากเขื่อนแต่อย่างใด ประโยชน์ของน้ำชลประทานจากเขื่อนจึงเหลือแต่ในฤดูแล้ง ซึ่งจากการคำนวน โดยใช้สมมุติฐานว่า
8.1 ชาวบ้านปลูกข้าวได้ 0.75 ตัน/ไร่
8.2 ขายข้าวได้ราคาปกติ 8,000 บาท/ตัน
8.3 ขายข้าวได้ราคาจำนำ(เฉลี่ย) 14,000 บาท/ตัน
8.4 มีต้นทุนการเพาะปลูก 3,000 บาท/ไร่
8.5 ชาวบ้านจะมีกำไร/ไร่ (0.75*8,000)-3,000 = 3,000 บาท/ไร่ (ราคาปกติ)
8.6 ชาวบ้านจะมีกำไร/ไร่ (0.75*14,000)-3,000 = 7,500 บาท/ไร่ (ราคาจำนำ)
8.7 ชาวบ้านในพื้นที่ชลประทานจะมีรายได้เพิ่มขึ้น = 116,545 (ไร่) * 3,000 = 349.64 ล้านบาท (ราคาปกติ)
8.8 ชาวบ้านในพื้นที่ชลประทานจะมีรายได้เพิ่มขึ้น = 116,545 (ไร่) * 7,500 = 874.09 ล้านบาท (ราคาจำนำ)
8.9 ทำให้โครงการมูลค่า 13,000,000,000 บาทมีระยะเวลาคืนทุน 37 ปี และ 15 ปี ตามลำดับ โดยยังไม่คิดถึงค่าใช้จ่ายในการดูแลและซ่อมบำรุงเขื่อนและระบบส่งน้ำ ทั้งนี้การลงทุนทั่วไปควรมีระยะคืนทุนอยู่ระหว่าง 4-7 ปี และ 7-10 ปีในโครงการขนาดใหญ่
8.10 เขื่อนแม่วงก์จะมีค่า IRR ในกรณีข้าวราคาปกติที่ -5% ในระยะเวลา 20 ปี และ 3% ในระยะ 20 ปีที่ราคาจำนำ ทั้งนี้ในปัจจุบัน การลงทุนส่วนใหญ่ควรมีค่า IRR ในช่วงระยะเวลา 10 ปีอยู่ระหว่าง 5-10% จึงจะถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า (การคำนวนยังไม่ได้นำค่าใช้จ่ายในการดูและและซ่อมบำรุงเขื่อนและระบบส่งน้ำเข้ามารวม)
หมายเหตุ: ตัวเลขจากกรมชลประทานระบุว่าจะเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรในพื้นที่ได้ประมาณ 720 ล้านบาท/ปี คิดเป็น ระยะเวลาคืนทุน 18 ปี IRR เมื่อ 20 ปี =1%
(ขยายความเรื่อง IRR: หมายถึง ผลตอบแทนการลงทุนของกระแสเงินชุดหนึ่ง ส่วนใหญ่แล้วเริ่มต้นด้วยงบลงทุน เป็นตัวเลขติดลบ ตามด้วยผลตอบแทนที่จะได้รับในแต่ละปี ในกรณีของเขื่อนแม่วงก์ ถ้าหากใช้ตัวเลขของกรมชลประทานว่าจะได้ผลผลิตทางการเกษตรเพิ่มขึ้นปีละ 720 ล้านบาท/ปี โดยลบเงินลงทุนที่ 13,000 ล้านในปีแรก พบว่าในระยะเวลา 18 ปี ได้ผลตอบแทนเฉลี่ยเพียงปีละ 1% ทั้งนี้ในปัจจุบันดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ที่ประมาณ 2.5-3.5% จะเห็นว่าเงินลงทุนสร้างเขื่อนแม่วงก์ หากเอาไปฝากธนาคารไว้เฉยๆ ยังได้ผลตอบแทนคุ้มค่ากว่าประมาณ 2.5-3.5 เท่า)
(หมายเหตุเพิ่มเติม: รัฐบาลบอกว่าโครงการนี้จะใช้เงินกู้ประมาณ 9,000 ล้านบาท ทั้งนี้ปัจจุบันอัตราพันธบัตรรัฐบาลอายุ 20 ปี ให้ผลตอบแทนประมาณ 5.5-6% ต่อปี ในขณะที่ผลตอบแทนของโครงการนี้ในระยะ 18 ปีอยูที่ 1% เท่านั้น ซึ่งหมายความว่าโครงการนี้เป็นโครงการลงทุนที่ไม่คุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์)
9. ผมโพล 7 สี ถามคนในจ.นครสวรรค์ว่าต้องการให้สร้างเขื่อนแม่วงก์หรือไม่ปรากฏว่ามี 22.7% ต้องการเขื่อน 32.5% ต้องการเขื่อนถ้าไม่มีผลกระทบโดยรวม และ 34.2% ไม่ต้องการเขื่อน ในขณะที่ 10% ไม่แน่ใจ แสดงให้เห็นว่า คนในพื้นที่เองส่วนใหญ่แล้วก็ยังไม่ต้องการเขื่อนเลยหรือไม่ต้องการถ้าส่งกระทบต่อส่วนรวม ทั้งนี้ป่าไม้ มิได้เป็นสมบัติของคนในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง แต่เป็นสมบัติของคนทั้งชาติ ที่มีการใช้ “บริการทางอ้อม” จากป่าไม้ร่วมกัน เช่นใช้เป็นแหล่งผลิตออกซิเจน แหล่งกักเก็บน้ำ แหล่งอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นต้น การจะทำลายป่าไม้จึงต้องคำนึงถึง “คนนอกพื้นที่” ด้วยว่าเห็นด้วยหรือไม่
ข้อมูลจาก: มูลนิธิสืบนาคะเสถียร และ มูลนิธิโลกสีเขียว
1. ข้อมูลทั่วไป: เขื่อนแม่วงก์มีลักษณะเป็นเขื่อนหินทิ้งแกนดินเหนียวขนาดใหญ่ ความยาว 730 เมตร กว้าง 10 เมตร สูง 57 เมตร พื้นที่อ่างเก็บน้ำประมาณ 13,000 ไร่ อยู่ในอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ จ.กำแพงเพชรและจ.นครสวรรค์ปริมาณกักเก็บน้ำ 250 ล้านลูกบาศก์เมตร
2. ประมาณการค่าก่อสร้างของเขื่อนแม่วงก์เมื่อปี 2525 อยู่ที่ 3,761 ล้านบาท 2551 มีมูลค่า 7,000 ล้านบาท ในเว็บไซด์ของกรมชลประทานในวันที่ 31 สิงหาคม 2554 ระบุว่ามีมูลค่า 9,000 ล้านบาท แต่ เมื่อมีการอนุมัติงบประมาณ เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2555 มีมูลค่าก่อสร้างทั้งสิ้น 13,000 ล้านบาท (ตัวเลขการเพิ่มนี้ถ้าเทียบกับ ค่าเงินเฟ้อถือว่าอยู่ในระดับที่ยอมรับได้)
3. ถึงแม้ว่าพื้นที่น้ำท่วมจะเป็นแค่ 2% ของพื้นที่อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ หรือ 0.12% ของป่าตะวันตกทั้งหมด แต่พื้นที่ตรงนี้เป็นป่าที่ราบต่ำริมน้ำซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญในการหากินและขยายพันธุ์ของสัตว์ป่าในฤดูแล้ง ในปัจจุบันประเทศไทยเหลือป่าในพื้นที่ราบอยู่น้อยมาก สัตว์ป่าบางชนิด เช่น นกยูง ไม่สามารถบินขึ้นไป อาศัยอยู่บนเขาได้อย่างที่นักการเมืองเข้าใจ แต่นกยูง ต้องการลานหิน ลานทราย ริมน้ำเพื่อการ ป้อตัวเมีย ไม่สามารถไปกางหางอวดในป่ารกทึบได้ จากการสอบถามเจ้าหน้าที่อุทยานฯพบว่าป่าที่นักการเมืองกล่าวอ้างว่าเป็นป่าใหม่มีอายุไม่ถึง 30 ปีมีอยู่เพียงไม่กี่พันไร่ แต่ป่าด้านใน เป็นป่าไม้ที่สมบูรณ์มาก ในการสร้างเขื่อน ต้องทำการตัดไม้ออกจากพื้นที่ให้มากที่สุดเพื่อป้องกันน้ำเน่าเสีย น่าสนใจว่าไม้ขนาดใหญ่ (ซึ่งรวมถึงต้นสักด้วย) จะตกเป็นผลประโยชน์ของใคร
ภาพจาก: sky report
4. การก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์ จะทำให้สูญเสียพื้นที่ป่าไม้ในเขตอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ ไม่น้อยกว่า 13,000 ไร่ เป็นไม้ใหญ่ประมาณ 500,000 ต้น ซึ่งในจำนวนนี้มีไม้สักประมาณ 50,000 ต้น กล้าไม้อีก 10,000 ต้น หรือเปรียบ เทียบได้ว่าพื้นที่ป่า 1 ไร่ ที่จะถูกน้ำท่วมจะมีไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ 80 ต้นเป็น ไม้สัก 13 ต้น ลูกไม้ 576 ต้น และกล้าไม้อีก 1,880 ต้น จากการคำนวณพื้นที่ป่าที่จะสูญเสียไป จากการสร้างเขื่อนแม่วงก์ เมื่อคำนวณเป็น ปริมาณคาร์บอนที่ต้นไม้สามารถดูดซับไว้ได้นั้น หากมีการสร้างเขื่อนแม่วงก์ ประเทศไทยจะสูญเสียพื้นที่ที่ สามารถดูดซับคาร์บอนได้ประมาณ 10,400 ตันคาร์บอน ป่าแม่วงก์มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่อย่างน้อย 549 ชนิด และมีปลาอาศัยอยู่ในลำน้ำ 64 ชนิด (ใน EIA รายงานไว้ 61 แต่สำรวจเจอเพิ่มจากการลงพื้นที่อีก 3 ชนิด) ในจำนวนนี้มีเพียง 8 ชนิด หรือ 13% ที่สามารถผสมพันธุ์ในแหล่งน้ำนิ่งในอ่างเหนือเขื่อนได้นอกนั้นต้องอาศัยพื้นที่น้ำไหลหรือน้ำหลากซึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติ
5. จากเว็บไซด์ของกรมชลประทาน ลุ่มน้ำแม่วงก์มีพื้นที่รับน้ำฝน (water shed) 1,113 ตารางกิโลเมตร มีน้ำท่า 569 ล้าน ลูกบาศก์เมตร หรือมีน้ำ 0.52 ล้าน ลบ.ม./1 ตร.กม. ของพื้นที่รับน้ำ เมื่อเปรียบเทียบกับลุ่มน้ำทับเสลาซึ่งมีเขื่อนทับเสลาอยู่แล้ว ซึ่งมีพื้นที่รับน้ำฝน 534 ตร.กม. แต่มีน้ำท่า 124 ล้าน ลบ.ม. หรือมีน้ำ 0.23 ล้าน ลบ.ม./1 ตร.กม. ข้อสังเกตคือ พื้นที่ใกล้ๆกัน เขื่อนทับเสลาอยู่ทางใต้ของแม่วงก์เพียง 40 กม.ทำไมพื้นที่รับน้ำของเขื่อนแม่วงก์(ต่อตร.กม.)จึงมีน้ำมากกว่าพื้นที่รับน้ำของเขื่อนทับเสลาสองเท่ากว่าทั้งๆที่อยู่ในแนวเขาเดียวกัน ปริมาณฝนตกไม่น่าจะแตกต่างกันมากนัก ทั้งนี้ปีพ.ศ.2554 ซึ่งเป็นปีที่มีน้ำมาก เขื่อนทับเสลามีปริมาณน้ำในอ่างเพียง 49 ล้าน ลบ.ม. หรือ 31% ของความจุ และในปัจจุบัน ณ วันที่ 5 พค. 2555 ซึ่งเป็นปลายฤดูแล้งที่ควรจะมีการจัดส่งน้ำให้ทำการเกษตรในหน้าแล้ง ปรากฏว่ามีน้ำในอ่างที่ใช้การได้จริงเพียง 34 ล้าน ลบ.ม. หรือ 21% ของความจุเท่านั้น
ข้อมูลจาก: ศูนย์ประสานและติดตามสถานการณ์น้ำ กรมชลประทาน (http://www.thaiwater.net/DATA/REPORT/php/rid_bigcm.html)
เขื่อนทับเสลา พค. 2555 (ภาพ: มูลนิธิสืบฯ)
6. การช่วยบรรเทาน้ำท่วม: เขื่อนแม่วงก็มีอัตราการเก็บน้ำสูงสุดที่ 250 ล้าน ลบ.ม. ในขณะที่ปริมาณน้ำที่ท่วมภาคกลางเมื่อปลายปี 2554 มีถึง 16,000 ล้าน ลบ.ม. (ตัวเลขจาก ศปภ.) น้ำที่กักเก็บได้ทั้งหมดของเขื่อนแม่วงก์จึงคิดเป็นเพียงแค่ 2% ของปริมาณน้ำที่ท่วมที่ราบลุ่มภาคกลางในช่วงปลายปี 2554 หรือคิดเป็นปริมาณน้ำที่ไหลเข้าทุ่งเจ้าพระยาในช่วงที่น้ำไหลเข้ามากที่สุดเพียงแค่ ครึ่งวันกว่าเท่านั้น เช่นในวันที่ 21 ตค. 2554 ทีม กรุ๊ป ให้ข่าวว่าปริมาณน้ำที่ไหลเข้าสู่ทุ่งเจ้าพระยามีมากถึงวันละ 419 ล้าน ลบ.ม. เขื่อนแม่วงก์จึงสามารถช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วมภาคกลางได้น้อยมาก นอกจากนั้นแม้แต่พื้นที่ใกล้เคียง เช่น อ.ลาดยาว เขื่อนแม่วงก์ก็ช่วยเรื่องน้ำท่วมหลากได้เพียง 25% เนื่องจากน้ำที่ท่วมอ.ลาดยาวจริงๆแล้วมาจากหลายสาย และเป็นน้ำไหลบ่าจากทุ่ง ไม่ใช่จากน้ำแม่วงก์สายเดียว ทั้งนี้การบริหารจัดการเขื่อน ต้องคงเหลือน้ำไว้ในเขื่อนส่วนหนึ่ง จึงเป็นไปไม่ได้ที่เขื่อนแม่วงก์จะสามารถรับน้ำได้เต็ม 250 ล้าน ลบ.ม. ทุกปี
(ภาพ: มูลนิธิสืบฯ)
7. รายงานการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม(EIA) ทั้ง 4 ครั้งตั้งแต่ปี 2538, 2541, 2545 และ 2547 ไม่เคยผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม ซึ่งระบุให้กรมชลประทานไปหาวิธีจัดการน้ำแบบบูรณาการมากกว่าสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม ส่วนรายงานการศึกษาฉบับที่กำลังทำอยู่ในปัจจุบัน มีมูลค่าวงเงินตามสัญญา ประมาณ 15 ล้านบาท ก็มีแนวโน้มไม่โปร่งใส เนื่องจากมีการลัดขั้นตอน ตัดลดจำนวนการลงพื้นที่สำรวจความหลากหลายทางชีวภาพบางรายการ นอกจากนั้นกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยังได้มีหนังสือด่วนที่สุดเมื่อวันที่ 23 มีค. 2555 ถึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ให้ความเห็นว่าโครงการเขื่อนแม่วงก์ขัดต่อเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติและไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ ป่า และ พันธุ์พืช จะพิจารณาให้ดำเนินการได้
8. กรมชลประทานระบุว่าเขื่อนแม่วงก์จะสามารถส่งน้ำให้กับพื้นที่ชลประทานในฤดูฝนได้ 291,900 ไร่ พื้นที่ในฤดูแล้ง 116,545 ไร่ จากการลงพื้นที่ ปรากฏว่าในฤดูฝน ชาวบ้านใช้น้ำฝนและน้ำหลากทุ่งในการทำการเกษตรอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องพึ่งน้ำจากเขื่อนแต่อย่างใด ประโยชน์ของน้ำชลประทานจากเขื่อนจึงเหลือแต่ในฤดูแล้ง ซึ่งจากการคำนวน โดยใช้สมมุติฐานว่า
8.1 ชาวบ้านปลูกข้าวได้ 0.75 ตัน/ไร่
8.2 ขายข้าวได้ราคาปกติ 8,000 บาท/ตัน
8.3 ขายข้าวได้ราคาจำนำ(เฉลี่ย) 14,000 บาท/ตัน
8.4 มีต้นทุนการเพาะปลูก 3,000 บาท/ไร่
8.5 ชาวบ้านจะมีกำไร/ไร่ (0.75*8,000)-3,000 = 3,000 บาท/ไร่ (ราคาปกติ)
8.6 ชาวบ้านจะมีกำไร/ไร่ (0.75*14,000)-3,000 = 7,500 บาท/ไร่ (ราคาจำนำ)
8.7 ชาวบ้านในพื้นที่ชลประทานจะมีรายได้เพิ่มขึ้น = 116,545 (ไร่) * 3,000 = 349.64 ล้านบาท (ราคาปกติ)
8.8 ชาวบ้านในพื้นที่ชลประทานจะมีรายได้เพิ่มขึ้น = 116,545 (ไร่) * 7,500 = 874.09 ล้านบาท (ราคาจำนำ)
8.9 ทำให้โครงการมูลค่า 13,000,000,000 บาทมีระยะเวลาคืนทุน 37 ปี และ 15 ปี ตามลำดับ โดยยังไม่คิดถึงค่าใช้จ่ายในการดูแลและซ่อมบำรุงเขื่อนและระบบส่งน้ำ ทั้งนี้การลงทุนทั่วไปควรมีระยะคืนทุนอยู่ระหว่าง 4-7 ปี และ 7-10 ปีในโครงการขนาดใหญ่
8.10 เขื่อนแม่วงก์จะมีค่า IRR ในกรณีข้าวราคาปกติที่ -5% ในระยะเวลา 20 ปี และ 3% ในระยะ 20 ปีที่ราคาจำนำ ทั้งนี้ในปัจจุบัน การลงทุนส่วนใหญ่ควรมีค่า IRR ในช่วงระยะเวลา 10 ปีอยู่ระหว่าง 5-10% จึงจะถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า (การคำนวนยังไม่ได้นำค่าใช้จ่ายในการดูและและซ่อมบำรุงเขื่อนและระบบส่งน้ำเข้ามารวม)
หมายเหตุ: ตัวเลขจากกรมชลประทานระบุว่าจะเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรในพื้นที่ได้ประมาณ 720 ล้านบาท/ปี คิดเป็น ระยะเวลาคืนทุน 18 ปี IRR เมื่อ 20 ปี =1%
(ขยายความเรื่อง IRR: หมายถึง ผลตอบแทนการลงทุนของกระแสเงินชุดหนึ่ง ส่วนใหญ่แล้วเริ่มต้นด้วยงบลงทุน เป็นตัวเลขติดลบ ตามด้วยผลตอบแทนที่จะได้รับในแต่ละปี ในกรณีของเขื่อนแม่วงก์ ถ้าหากใช้ตัวเลขของกรมชลประทานว่าจะได้ผลผลิตทางการเกษตรเพิ่มขึ้นปีละ 720 ล้านบาท/ปี โดยลบเงินลงทุนที่ 13,000 ล้านในปีแรก พบว่าในระยะเวลา 18 ปี ได้ผลตอบแทนเฉลี่ยเพียงปีละ 1% ทั้งนี้ในปัจจุบันดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ที่ประมาณ 2.5-3.5% จะเห็นว่าเงินลงทุนสร้างเขื่อนแม่วงก์ หากเอาไปฝากธนาคารไว้เฉยๆ ยังได้ผลตอบแทนคุ้มค่ากว่าประมาณ 2.5-3.5 เท่า)
(หมายเหตุเพิ่มเติม: รัฐบาลบอกว่าโครงการนี้จะใช้เงินกู้ประมาณ 9,000 ล้านบาท ทั้งนี้ปัจจุบันอัตราพันธบัตรรัฐบาลอายุ 20 ปี ให้ผลตอบแทนประมาณ 5.5-6% ต่อปี ในขณะที่ผลตอบแทนของโครงการนี้ในระยะ 18 ปีอยูที่ 1% เท่านั้น ซึ่งหมายความว่าโครงการนี้เป็นโครงการลงทุนที่ไม่คุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์)
9. ผมโพล 7 สี ถามคนในจ.นครสวรรค์ว่าต้องการให้สร้างเขื่อนแม่วงก์หรือไม่ปรากฏว่ามี 22.7% ต้องการเขื่อน 32.5% ต้องการเขื่อนถ้าไม่มีผลกระทบโดยรวม และ 34.2% ไม่ต้องการเขื่อน ในขณะที่ 10% ไม่แน่ใจ แสดงให้เห็นว่า คนในพื้นที่เองส่วนใหญ่แล้วก็ยังไม่ต้องการเขื่อนเลยหรือไม่ต้องการถ้าส่งกระทบต่อส่วนรวม ทั้งนี้ป่าไม้ มิได้เป็นสมบัติของคนในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง แต่เป็นสมบัติของคนทั้งชาติ ที่มีการใช้ “บริการทางอ้อม” จากป่าไม้ร่วมกัน เช่นใช้เป็นแหล่งผลิตออกซิเจน แหล่งกักเก็บน้ำ แหล่งอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นต้น การจะทำลายป่าไม้จึงต้องคำนึงถึง “คนนอกพื้นที่” ด้วยว่าเห็นด้วยหรือไม่
Comments
ความคิดเห็น
ความเห็นที่ 1
ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่า อ้อย 1000 ไร่ จะแช่อยู่ในน้ำได้นานกี่วัน ถ้าเกิน 15-30 วัน ก็ช่วยบอกผมด้วยน่ะ ฤดูฝนจะได้ปลูกอ้อย 1000 ไร่ แช่น้ำ แทนนาข้าวที่โดนน้ำท่วมทุกปี ถึงผมจะไมใช่เกษตกร แต่ผมก็เห็นความเปลี่ยนแปลง ก่อนน้ำท่วมและหลังน้ำท่วม ชาวบ้านที่แม่วงก์หวังรายได้ส่วนใหญ่ กับ พืช ผลการเกษตรที่เขาตั้งใจทำมา เมื่อน้ำมา ไร่นาก็ตายจากไปพร้อมน้ำ ถ้าอ้อย 1000 ไร่ ปลูกในพื้นที่นี้ได้จริง ชาวแม่วงก์คงปลูกกันไปนานแล้วครับ
ความเห็นที่ 1.1
(ตอบ)
ผมเคยบอกไว้ที่ไหนว่า ผมบอกอย่างนั้น ?
ความเห็นที่ 1.2
(ตอบ)
ผมมองว่าโครงการนี้ช่วยเหลือชาวบ้านได้จริงๆ + คุ้มค่าเอามากๆ" (ไม่อย่างนั้น ผมจะไม่สนับสนุน)
ความเห็นที่ 1.2.1
ความเห็นที่ 1.2.1.1
ความเห็นที่ 1.2.2.1
ว่าจุดประสงค์ ที่จะสร้างเขื่อน เพื่อ ป้องกันน้ำ รองรับน้ำ ซึ่งก็ เห็นว่า รองรับน้ำไม่ได้จริงหรือได้แค่ 1% จาก ปริมาณน้ำที่ท่วมในเหตุการณ์น้ำท่วมกรุงเทพปี 2554
หรือจะแก้ปัญหาภัยแล้งให้เกษตรกร ซึ่ง ก็จะมีแค่ 30% ของเกษตรกร ได้รับผลพลอยได้จากตรงนี้ แล้วอีก 70% ล่ะครับ
หรือจะเป็นเรื่อง ผลิตกระแสไฟฟ้าเหรอครับ (กระแสไฟฟ้า ที่ได้จากการเขื่อน มีเพียง 3% ของพลังงานกระแสไฟฟ้าทั้งหมดของประเทศไทยนะครับ สูงสุด 50 กว่าเปอเซ็นได้จากการผลิตกระแสไฟฟ้าจาก แก๊สนะครับ) แล้ว เขื่อนแม่วงก์ก็ไม่สามารถผลิตกระแสไฟได้นะครับ
***ทีนี้เรามาดูข้อเสียกันนะครับ
ป่าหายไปนะครับ สัตว์ป่าหายากใกล้สูญพันธ์นะครับ แน่นอนได้รับผลกระทบแน่ๆ
ป่าสักทองผืนสุดท้ายนะครับ (การสร้างเขื่อนต้องตัดไม้....แล้วไม้(ไม้สักนะครับ) ที่ตัดไปล่ะครับไปไหนครับ) เราๆจะได้หรือเสียครับ
แล้วเงินที่นำมาสร้างเขื่อน กู้นะครับกู้ ไม่ใช่เศษเงินหรือเงินทอนค่าก๊วยเตี๋ยวนะครับ 13000 ล้านกว่าบาทครับ กู้แปลว่าไรครับ เป็นหนี้ใช่ป่ะครับ!! เอาล่ะสิ แล้วหนี้ก้อนนี้ ตกที่ใครครับ?.....พวกเราๆคุณๆนี้ไงครับ กลายเป็นหนี้สาธารณะอีก เอาล่ะสิ!!
ทีนี้คุณ ธนพล สาระนาด ลองอธิบายขอดี ที่มากกว่าเสียให้ฟังได้ไหมครับ อย่างที่คุณบอกว่า"คุ้มค่าเอามากๆ" ผมมองไม่เห็นความคุ้มค่าจริงๆครับ ขอโทษด้วย
ความเห็นที่ 1.2.2.2
ความเห็นที่ 1.3.2.2
ความเห็นที่ 1.2.2.1
ความเห็นที่ 2.2.2
การคิด พท.ป่าที่จะเสียไปของกรมชลฯ ได้รวมถึงขอบอ่างที่ต้องถางไม้ออกเป็นรัศมี ห่างจากขอบน้ำสูงสุดแล้วยัง???
อย่างไรก็ตาม ไม่เอาเขื่อนที่อยู่บนพื้นฐานความคิดแบบของ "การพัฒนาโดยการทำลาย"
ความเห็นที่ 2.2.2.1
"เขื่อนขุนด่านฯ แต่ก็ไม่ใช่ Critical Ecosystem "...(ตอบ) เขื่อนแม่วงก์อยู่ชายขอบอุทยาน เช่นเดียวกับเขื่อนขุนด่าน ไม่ใช่ Critical Ecosystem"...เป็นป่ารุ่นสอง(secondary growth)หลังจากที่ชาวบ้านถูกอพยพออกไปเมื่อประมาณ 30 ปี มาแล้วครับ.
ความเห็นที่ 2.2.2.1.1
ความเห็นที่ 2.2.1.1.1
ความเห็นที่ 2.2.2
"ถ้าเขื่อนคือคำตอบในการป้องกันน้ำท่วมจริง ปีที่แล้วเราคงไม่เห็นภาพน้ำท่วมดอนเมือง หลังจากฝนหยุดมาแล้วเป็นเดือน "...(ตอบ) โครงการเขื่อนแม่วงก์มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเกษตรกรรมในพื้นที่โครงการ 291,900 ไร่ ครับ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันน้ำท่วมดอนเมือง
ความเห็นที่ 2.2.2.1
ความเห็นที่ 2.2.2.1.1
ความเห็นที่ 2.2.2.1.2
เห็นด้วยอย่างยิ่งกับวิธีคิดนี้ แล้วเรายังทำลายธรรมชาติเพื่อความต้องการอันไม่มีที่สิ้นสุด โดยลืมนึกถึงพืชและสัตว์รวมถึงมนุษย์คนอื่นๆที่ไม่ได้รับผลประโยชน์โดยตรงที่อยู่ร่วมโลกกับเรา
ความเห็นที่ 2.2.3
ความเห็นที่ 2.2.4
(ตอบ)
เขื่อนแม่วงก์ ไม่มีทางเลือกที่ดีกว่าครับ จะย้ายไปที่เขาชนกัน ห่างออกไป 20-30 กม หรือก็มีชาวบ้านอยู่เต็มไปหมด รวม 2,100 ครอบครัว ที่ทำกิน 39,290 ไร่ บ้านเรือน 3,300 หลัง ... ก็จะถูกน้ำท่วมครับ.
ความเห็นที่ 2.2.4.1
ความเห็นที่ 2.2.4.1.1
2.พัฒนาระบบปลายน้ำคืออย่างไร ช่วยอธิบายด้วยครับ
3.แพงกว่าแค่ไหน ช่วยอธิบายด้วยครับ
4.ผู้ได้รับประโยชน์ต้องรับภาระแค่ไหน ช่วยอธิบายด้วยครับ
ความเห็นที่ 2.2.4.1.1.1
2.พัฒนาระบบปลายน้ำคืออย่างไร ช่วยอธิบายด้วยครับ; ก็ข้อนี้ไงครับ; สร้างฝายตามลำน้ำ+ขุดสระ +น้ำบาดาล
3.แพงกว่าแค่ไหน ช่วยอธิบายด้วยครับ ; คุณลุงมีคำตอบอยู่แล้วครับ
: ทางเลือกที่ 3 สร้างฝายตามลำน้ำ+ขุดสระ B/C ratio = 0.49
ทางเลือกที่ 4 สร้างฝายตามลำน้ำ+น้ำบาดาล B/C ratio = 0.71
4.ผู้ได้รับประโยชน์ต้องรับภาระแค่ไหน ช่วยอธิบายด้วยครับ; คือน้ำอาจมีราคาแพงขึ้น หรือต้องปรับตัวกับการขาดน้ำตามฤดูการที่อาจเกิด แต่ทรัพยากรธรรมชาติ ecosystem service (ของทุกๆคน กลุ่ม และโลก) ยังมีอยู่เดิม
ความเห็นที่ 2.2.4.1.2
ความเห็นที่ 2.2.5
ความเห็นที่ 3.2
ความเห็นที่ 4.2
...แต่ถ้ารัฐบาลมีนโยบายจะสร้างก็ต้องเพิกถอนพื้นที่เขื่อนและอ่างออกจากเขตอุทยานฯ ทำนองเดียวกับเขื่อนขุนด่านฯ จ.นครนายกครับ".
ป่าไม่ใช่ของรัฐบาลหรือนักการเมืองเสียงข้างมากแต่ผู้เดียว ควรฟังเสียง ในหลักวิชาการ ความเป็นจริง จาก ปชช. ที่เป็นเจ้าของ และผู้จ่ายเงินเดือนให้คูณบ้าง
ความเห็นที่ 5.2
ความเห็นที่ 5.2.1
ความเห็นที่ 6.2
ความเห็นที่ 6.2.1
ความเห็นที่ 7.2
ทั้้งนี้ไม่นับรวมผู้ขาดข้อมูลนะครับ นับเฉพาะคนที่มีข้อมูลใกล้เคียงกัน
และทั้งไม่นับคนที่มีผลประโยชน์ทั้งโดยตรงและแอบแฝง ที่บางหนอาจจะสามารถสามารถแสดงความคิดชวนเชื่อให้บางคนได้
กรณีนี้ มองแล้วผมว่าคนในเว็บนี้ ตามข้อมูลที่แต่ละคนมีนั้น มองผลประโยชน์โดยรวมในระยะยาว อาจยาวถึงตอนที่แต่ละคนไม่อยู่แล้วก็ได้ !
มิพักต้องพูดถึงความน่าระแวงในการการผลักดันโครงการโดยรัฐบาล... !
เสียงเล็ก ๆ จากคนไม่เท่าไหร่ ดูเหมือนจะต้านไม่ได้นะครับ !
แต่ชั่วโมงนี้ รัฐบาลนี้เข้มแข็งน้อยลง
เสียงเล็กๆอาจเป็นเสียงที่ต้องฟังมากขึ้น
ก็ยังมีความหวังครับ
ป.ล. เจ้าของบทความเพิ่งจบมาได้ไม่กี่วันใช่มั้ยครับ
เดาเอาจากเข้ามาที่นี่บ่อย ๆ แต่เพิ่งได้เห็นคำนำหน้านามใหม่
ขอยินดีกับดุษฎีบัณฑิตด้วย ผมเคยอ่านเคยซื้อหนังสือที่คุณนณณ์ทำ
ถ้ามีโอกาส จะขอแวะทักทายที่เกษตรแฟร์ครับ
ความเห็นที่ 7.2.1
ความเห็นที่ 8.2
(ตอบ)
องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้จะเป็นผู้ตัด ผลประโยชน์จะตกเป็นของรัฐ
ความเห็นที่ 8.2.1
ความเห็นที่ 8.2.2
แถมงบก่อสร้างก็กินกันแหลกลาญ
เขื่อนสร้างมาก็ใช้ประโยชน์ได้ไม่ถึงครึ่ง แค่เท่าทีมีอยู่เดิมดูแลให้มันทำงานได้เต็มประสิทธิภาพยังทำไม่ได้ยังจะสร้างเพิ่มเพื่ออะไร
ความเห็นที่ 9.2
ค่า B/C น่าสงสัยมาก ราคาเขื่อนเพิ่มขึ้นเกือบ สี่เท่า แต่ B/C ยังคุ้มค่า มีใครรู้บ้างหรือมั้ยตัวเลขเหล่านี้มีข้อมูลดิบมาอย่างไร
ลงทุนหมื่นสามพันล้าน มีผลตอบแทนปีละ 720 ล้าน เอาเงินก้อนนี้ไปปล่อยกู้ดีกว่ามั้ยได้ดอก 6 % ก็มากกว่าผลประโยชน์ที่ชาวบ้านจะได้เสียอีก
ต้นทุนสวลไม่เคยคิด หากคิดแบบที่กรมป่าไม้ฟ้องชาวบ้าน"คดีโลกร้อน" ไร่ละเท่าไหร่ http://openso.blogspot.com.au/2012/04/blog-post_29.html ลองอ่าดู
เรื่องผลกระทบต่อสัตว์ป่า ลุงก็บอกแต่ว่าไม่พบสัตว์อะไรในพื้นที่อ่างเก็บน้ำ ผมว่าต้องทบทวนความรู้ วิธีคิดใหม่นะครับ เอาแค่เสือ (และสัตว์ป่าอื่น ๆ ด้วย) หากินใช้พื้นที่กว้างเท่าไหร่ ใช้ตรงไหน ใช้เมื่อไหร่ คุณรู้หรือยัง ยืนกระต่ายขาเดียวบอกไม่มี ผมว่าตอบแบบกำปั้นทุบดินเกินไป ก่อสร้างเขื่อน 8 ปี ทั้งระเบิด ทั้งเจาะ คนงานอีกนับพัน สัตว์ป่ามันจะอยู่หรือ
นกยูง คุณลุงสรุปว่าเป็นนกยูงอินเดีย เพราะฟังมาจากเจ้าหน้าที่พิทักษ์คนไหนไม่บอกชื่อ ผมว่าลุงยังไม่เห็นนกยูงเลยมั่งเนี่ย ถึงแยกไม่ออกไหนนกยูงอินเดีย นกยูงไทย
คุณลุง ผมว่าควรทบทวนตัวเองหน่อยนะครับ วิธีคิด การหาข้อมูล โลกทุกวันนี้มันเปลี่ยนไปมากแล้ว จะมาคิดแบบคนกรมป่าไม้สมัยก่อนไม่ได้ มันโบราณมาก
ความเห็นที่ 9.2.1
"ชมรมอนุรักษ์อุทยาน แต่สนับสนุนการทำลายป่าโดยรัฐทุกโครงการ เปลี่ยนชื่อชมรมดีกว่า ก่อนหน้านี้บอกใครทำป่าคือคนทำลายชาติ หีหี เปลี่ยนไปแล้ว"
(ตอบ) http://www.interpretationthailand.org/index.php?lay=show&ac=article&Id=539503264
ความเห็นที่ 9.2.1.1
ความเห็นที่ 10.2
และตอนนี้ทางฝั่งอนุรักษ์ไม่เอาเขื่อนก็ได้ให้ข้อมูลและตอบข้อซักถามอย่างชัดเจนแล้ว ลุงธนพลจะเอาไงต่อครับ ทั้งๆ ที่เห็นชัดๆ ว่าได้ไม่คุ้มเสีย
ความเห็นที่ 11.2
ความเห็นที่ 11.2.1
ความเห็นที่ 12.2
ความเห็นที่ 13.2
ผมเห็นด้วยกับคำพูดนี้อย่างยิ่งครับ ไม่ว่าจะด้วยความคุ้มหรือไม่คุ้มอะไร เราควรปล่อยป่าไม้เอาไว้เแยอย่างนั้นไม่ต้องไปแตะต้องมันอีกต่อไปครับ
“ในความรู้สึกของผม เราไม่ต้องเสียเวลามานั่งเถียงกันหรอกว่า เราจะใช้ป่าไม้อย่างไร เพราะมันเหลือน้อยมากจนไม่ควรใช้ …เดี๋ยวนี้เขื่อนเริ่มจะเข้าไปในพื้นที่ป่าอนุรักษ์แล้ว เพราะว่าป่าข้างนอกหมดแล้ว”
สืบ นาคะเสถียร ได้ให้สัมภาษณ์กับสารคดี ในบ่ายวันหนึ่งของเดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๕๓๓
ความเห็นที่ 14.2
1.ในเรื่องปริมาณน้ำเข้าเขื่อนจะเท่าไหร่ต่อปี ก็เป็นการคำนวนจากปริมาณฝนที่ตกในพื้นที่ครับ
เช่นเดียวกับการคาดการของนักวิชาการด้านอื่น
2. พื้นที่ที่คาดว่าน้ำท่วมผมไปสำรวจมาแล้วครับ ท่วมห่างจากลำน้ำที่ห่างสุดประมาณ 4 กม. ซึ่งอยู่ฝั่งกำแพงเพชร ส่วนในฝั่งนครสวรรค์ท่วมจากลำน้ำไกลสุดประมาณ 2 กม.ครับ ถ้าใครเคยเดินเข้าไป
จะทราบว่ามีหน่วยจัดการต้นน้ำขุนน้ำเย็นซึ่งอยู่ห่างจากบริเวณแนวแกนเขื่อนประมาณ 7-8 กม.
นั้นคือบริเวณที่น้ำจะท่วมบางส่วน หลังจากนั้นจะท่วมริมลำน้ำครับ และขอยืนยันว่าพื้นที่ในบริเวณที่น้ำท่วม
ในส่วนที่เป็นป่าเบญจพรรณจะเคยผ่านการทำกินมาแล้ว ยกเว้นบริเวณป่าเต็งรังบางบริเวณ
3. ส่วนที่กรมอุทยานทำโป่งเทียมให้สัตว์นั้นอยู่ห่างจากหน่วยจัดการต้นน้ำขุนน้ำเย็นและไม่ใช่บริเวณน้ำท่วมครับ
4.ผมอยากให้นักวิชาการหรือใครก็ตามที่ออกมาพูดกันออกสนามพร้อมกันแล้วสอบถามชาวบ้านที่ทำนาว่าเขาต้องการหรือไม่ และป่าไม้มีขนาดใหญ่อย่างที่พูดกันหรือไม่ ป่าสักมีความหนาแน่นเป็นอันดับสองของประเทศอย่างที่พูดกันหรือไม่ แล้วถ้าข้อมูลฝ่ายไหนดีกว่าก็ขอให้อีกฝ่ายหนึ่งเลิกพูดเพื่อสนับสนุนหรือคัดค้าน
5.การที่อ้างโพล 7 สี ว่าชาวบ้านเขาไม่เห็นด้วยมากกว่า(จำนวนตัวอย่าง 288ตัวอย่าง) ตัวเลขจากการลงทำการสำรวจตั้งแต่บริเวณเขื่อนจนถึงบริเวณพื้นที่ที่คาดว่าเป็นพื้นที่ชลประทาน ชาวบ้านเห็นด้วยมากกว่า 80 % (จำนวน 400 ตัวอย่าง) ก็ลองเปรียบเทียบดูครับ
6. ชาวสะเอียบไม่เอาเขื่อนนักวิชาการที่คัดค้านก็เห็นยืนเคียงข้างชาวบ้านเฉยเลย แต่พอแม่วงก์ชาวบ้านต้องการเขื่อนนักวิชากลุ่มเดิมกลับออกมายืนตรงข้ามชาวบ้าน
7.เวลาเปลี่ยนทำให้ราคาค่าก่อสร้างเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมต่างๆ ก็เปลี่ยน
8.น้ำที่ชาวบ้านสูบมาใช้ทำนามีต้นทุนต่อไร่เพิ่มขึ้น เหตุที่ต้องทำเพาะพื้นที่เหมาะจะทำนาอย่างเดียว
ประมาณ 80% เป็นนาข้าวครับ แล้วจะให้เขาทำอาชีพอะไรดีครับ
ข้อมูลบางส่วนเท่านั้นครับ
ความเห็นที่ 15.2
ชมรมอนุรักษ์ฯ มีคุณลุงคนเดียว?
หรือเป็นเพราะยังไม่ได้เพิ่มข้อมูลสมาชิก กรรมการ หรือผู้เกี่ยวข้องกับชมรมท่านอื่นๆ?
ด้วยความเคารพ
ความเห็นที่ 16.2
เรามั่วแต่หลอกเป็นชั่วอายุคนว่าเขื่อนสามารถกักน้ำเวลาน้ำท่วมได้....แล้วที่ผ่านมาเขื่อนทำหน้าที่กักน้ำไม่ให้น้ำท่วมได้ไหมแล้วเมื่อปี54แม่น้ำแทบทุกสายมีเขื่อนหมดทำไมยังช่วยไม่ได้นั้นแสดงว่าทฤษฎีมีเขื่อนแล้วน้ำจะไม่ท่วมหรือท่วมน้อยลงนั้นเป็นเรื่องงมงายที่พิสูตรได้แล้วว่าช่วยไม่ได้ ส่วนเขื่อนแม่วงค์เค้าเจตนาหลักไว้ช่วยน้ำแล้ง ลองไปหัดเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ดิมีเขื่อนภาคไหนของประเทศไทยที่ช่วยไม่ให้น้ำท่วมได้บ้างและมีเขื่อนไหนในประเทศไทยที่ช่วยเรื่องขาดเเคลนน้ำได้มั่งเห็นทุกปีต้องมีข่าวทางทีวีประกาศภัยพิบัติน้ำท่วมน้ำแล้งกันอยู่ทุกปี..........ถ้าคุณเป็นมนุษย์ที่มีใจสูงกว่าคน....ก็ควรหยุดเบียดเบียนพื้นที่ธรรมชาติได้แล้วสัตว์จะไม่มีที่อยู่ที่กินกันอยู่แล้วเพราะความเห็นแก่ตัวของสัตว์เศรษฐกิจ.....ถ้าเป็นสัตว์ประเสริฐจริงต้องไม่มีความคิดที่จะเอาเปรียบธรรมชาติเช่นนี้
ความเห็นที่ 17.2
ความเห็นที่ 18.2
ความเห็นที่ 19.2
ความเห็นที่ 20.2