ความคิดเห็นที่: 5
ในสังคมที่ ไม่มีความเสมอภาค ในสังคมที่ คนไม่เท่ากัน นั้น ... เราทั้งหลายกำลังเผชิญหน้ากับ สงครามชนชั้น อยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะ สงครามการแย่งชิงทรัพยากร ระหว่างประชาชนธรรมดาที่ร่วมกันเป็นเจ้าของในชุมชน กับฝ่ายที่ต้องการนำทรัพยากรเหล่านั้นไปสร้างกำไรเพื่อคงไว้ซึ่ง ความห่างทางชนชั้นอยู่อีกเรื่อยๆ และ ถ้าขึ้นชื่อว่า สงคราม แล้วล่ะก็ ความสูญเสียก็ต้องเกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมดา ... และที่มันถูกจำกัดมุมมองให้เป็นเพียงความสูญเสียธรรมดาๆ ก็เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วมันมักจะเป็นความสูญเสียของฟากฝั่งของคนที่ไร้อำนาจ - ไร้พลัง เป็นความสูญเสียของฝ่าย ประชาชนธรรมดา ที่เป็นปฏิปักษ์กับ รัฐ , นายทุน และชนชั้นที่ได้ประโยชน์จากสังคมที่ยังเหลื่อมล้ำเป็นอยู่ อย่างในปัจจุบันนี้
ในมุมกลับกัน ถ้าหาก ข้าราชการ , นักการเมือง , มหาเศรษฐีร้อยล้าน , ดารา , ชนชั้นสูง , อภิสิทธิ์ชน ... ใครซักคนดันเกิดมา ตายห่า แบบฉุกละหุกละก้อ ... นั่นแหละจะเป็นความสูญเสียที่พวกเขาเหล่านั้นเรียกว่าเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ --- มันจะกลายเป็นเรื่องที่กล่าวขวัญกันไปทั้งเมือง คุณจะได้ติดตามอย่างเกาะติดจากการสอพลอชนชั้นเหล่านั้นของสื่อกระแสหลัก กดประสาทให้คุณมีอารมณ์ร่วม ซึ้งแบบว่า ถ้าโคตรพ่อโคตรแม่คุณตาย คุณก็อาจไม่เศร้าซึ้งได้ขนาดนั้น
แต่ ถ้าหากคนติดดิน ตีนดำๆ ซักคนสองคนหรือมากกว่านั้น ตายในการทำสงครามชนชั้น ตายเพื่อปกป้องห้วยหนองคลองบึง ตายเพื่อแกป้องที่ทำกิน ตายเพื่อปกป้องการแย่งชิงทรัพยากรชุมชนจากนายทุน และรัฐแล้วล่ะก้อ ... การได้เป็นข่าวออกโทรทัศน์ซัก 20 วินาทีในช่วงข่าวภูมิภาคหรือข่าวอาชญากรรม ก็ถือว่าบุญโขแล้ว !
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ประชาชนธรรมดา ได้ลุกขึ้นสู้กับการเข้ามาขโมยทรัพยากรจาก รัฐ , นายทุน และชนชั้นที่ได้ประโยชน์จากสังคมที่ยังเหลื่อมล้ำ และก็อย่างที่ทราบๆ กันว่า ประชาชนธรรมดา มักที่จะตายอย่างง่ายๆ และไม่ค่อยได้รับความสนใจนัก จากสังคมส่วนใหญ่ ( เพราะสื่อกระแสหลักของไทยชอบความตายที่ pop )
แต่กระนั้นคน หนุ่ม-สาว , เด็ก-แก่ ก็ไม่เลยที่จะคิดหยุดลุกขึ้นสู้ เมื่อพวกเขาหลังชนฝา รวมถึง มนุษย์ผู้ที่มีจิตใจรักความเป็นธรรม ทั้งหลาย ก็ไม่เคยคิดที่จะหยุดช่วยเหลือมนุษย์ด้วยกัน เมื่อเห็นเพื่อนร่วมโลกหลังชนฝา ...
มนุษย์ผู้ที่มีจิตใจรักความเป็นธรรม หลายคนเลือกที่จะเดินบนเส้นทางอันตราย เหมือนกับการเลือกไปสู่หนทางแห่งความตาย ในสมรภูมิแห่งสงครามชนชั้น เช เกวาร่า , จิตร ภูมิศักดิ์ , วีระชนเดือนตุลา ฯ ลฯ
และ พิทักษ์ โตนวุธ เป็นอีกหนึ่งคน ที่ได้ตายในสงครามชนชั้น , สงครามการแย่งทรัพยากรระหว่าง ประชาชนธรรมดา กับ รัฐ , นายทุน และชนชั้นที่ได้ประโยชน์จากสังคมที่ยังเหลื่อมล้ำ เมื่อ 6 ปีก่อน ...
พื้นที่บ้านชมภู ต.ชมพู อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก ตั้งอยู่ในหุบเขาบริเวณป่าชายขอบอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง สภาพภูมิประเทศโดยทั่วไป ด้านทิศตะวันออก และทิศเหนือเป็นป่าเขา ส่วนทิศตะวันตก และทิศใต้เป็นพื้นที่ราบ
จากสภาพความสมบูรณ์ทางธรรมชาติของพื้นที่ทำให้บริเวณนี้กลายเป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร หล่อเลี้ยงชีวิตราษฎรที่อาศัยอยู่ในภาคเหนือตอนล่าง ราษฎรบ้านชมภูรัก และหวงแหนแผ่นดินอันเป็นมรดกตกทอดจากธรรมชาติ จึงช่วยกันอนุรักษ์ไว้เป็นแหล่งท่องเที่ยว
ที่ผ่านมาชาวบ้านชมภูมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างสงบสุข ท้องฟ้าสว่างสดใสไร้ฝุ่นควัน ต้นไม้ใบหญ้าเขียวชะอุ่ม จนกระทั่งวันหนึ่งกลุ่มนายทุนซึ่ง เป็นคนในท้องถิ่น และต่างถิ่น มองเห็นช่องทางฉกฉวยผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ ต.ชมพู ไม่นานนักโรงโม่หิน 2 โรง ก็เกิดขึ้นในตำบลที่เคยเงียบสงบ ?
นับ แต่นั้นมาความสงบสุขในดินแดน แห่งนี้ก็มลายหายไป สิ่งที่เกิดขึ้นมาแทนคืความอึกทึกรึกโครมจากเสียงการระเบิดภูเขา แต่เช้า จดเย็น เสียงรถบรรทุกห้อตะบึงเข้า-ออกตลอดทั้งวัน ฝุ่นละอองจากโรงโม่หินฟุ้งกระจายไปทั่วผืนฟ้าก่อนร่วงหล่นปกคลุมไปทั่วหมู่บ้าน อากาศบริสุทธิ์ กลายเป็นมลพิษทำลายสุขภาพคนในท้องถิ่น
ชาวบ้านที่เคยชินกับสภาพความสงบสุขรับไม่ได้กับกระแสความเจริญที่สร้างความเดือดร้อนให้ชุมชน ในที่สุดชาวบ้านก็หมดสิ้นความอดทน หันหน้าเข้าปรึกษากันเพื่อเรียกร้องความสงบสุขในท้องถิ่นให้กลับคืนมา ไม่ช้าการชุมนุมเรียกร้องความเป็นธรรมก็บังเกิดขึ้น
ปี 2540 ชาวบ้านชมภู หมู่ 3 ต.ชมพู อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก กลุ่มหนึ่งรวมตัวกันตั้งชื่อกลุ่มว่า คณะกรรมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมลุ่มน้ำชมภู (คอลภ.) มีจุดประสงค์ให้ทางราชการเพิกถอนใบอนุญาตโรงโม่หิน 2 โรง ที่สร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้าน ทำลายสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ และแหล่งต้นน้ำลำธาร
การชุมนุมของชาวบ้านอาจไม่บรรลุผลตามเป้าหมาย หากปราศจากแกนนำหรือที่ปรึกษาที่มีความรู้ด้านกฎหมาย จึงเดินทางไปขอร้อง นายพิทักษ์ โตนวุธ นักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง คณะนิติศาสตร์ ประธานชมรมอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยรามคำแหง ให้ช่วยเป็นที่ปรึกษาเครือข่ายอนุรักษ์ลุ่มน้ำชมภู
พิทักษ์ นักศึกษาหนุ่มไฟแรงรับอาสาเป็นแกนนำพาชาวบ้านชมภูไปยื่นหนังสือให้ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก ปลดข้าราชการท้องถิ่นที่ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ รวมทั้งให้ประกาศยกเลิกกิจการโรงโม่หิน และให้ขนย้ายของออกภายใน
นอกจากนี้ที่ปรึกษาเครือข่ายอนุรักษ์ลุ่มน้ำชมภูได้ทำหนังสือร้องเรียนต่อนายอำเภอเนินมะปรางให้ดำเนินการตรวจสอบเอกสารสิทธิในที่ดินบริเวณที่ ตั้งโรงโม่หินใน ต.ชมพู และ อ.เนินมะปราง
สำนักงานที่ดินอำเภอเนินมะปราง รายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับที่ตั้งโรงโม่หินในท้องที่ตำบลชมพู ต่อคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับที่ดินที่ตั้งโรงโม่หิน ที่มี นายประยูร จักรภัทรกุล ปลัดอำเภอเนินมะปรางเป็นประธาน ได้ข้อสรุปดังนี้คือ
ที่ตั้งโรงโม่หินมีนางเป็นผู้ประกอบกิจการระเบิด และย่อยหิน มีกำหนด 5 ปี สิ้นสุดอายุการอนุญาตเดือน ต.ค. 2544 ที่ดินตั้งโรงโม่หินมีหลักฐานการถือครองที่ดิน ส.ค.1 หมู่ที่ 1 ตำบลชมพู อ.เนินมะปราง เนื้อที่ประมาณ 10 ไร่
แม้จะได้รับคำตอบแล้ว แต่ประเด็นความขัดแย้งยังไม่สิ้นสุด เมื่อฝ่าย คอลภ. เห็นว่า การพิจารณาครั้งนี้ ตัวแทนคณะกรรมชาวบ้านไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมพิจารณาการชี้เขตที่ดิน
พิทักษ์ ได้นำชาวบ้านเข้ายื่นเรื่องต่ออำเภอเนินมะปราง ให้พิจารณาเรื่องเอกสารสิทธิของโรงโม่หินอีกครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2544 คราวนี้คณะกรรมการยอมให้นายพิทักษ์ และแกนนำชาวบ้านเข้าร่วมประชุม ณ ที่ว่าการอำเภอเนินมะปราง
ในวันเดียวกันนั้น เวลาประมาณ 17.00 น. มีคนร้าย 2 คน ขี่รถจักรยาน ยนต์ใช้อาวุธปืนขนาด 9 มม.ประกบยิง นายพิทักษ์ โตนวุธ แกนนำนักอนุรักษ์ลุ่มน้ำชมพู ผู้นำชาวบ้านต่อต้านโรงโม่หิน ต.ชมพู อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก เสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับบ้านพร้อมกับ นายแวะ สมใจ ที่บริเวณทางเข้าหมู่บ้าน ชมพู ต.ชมพู อ.เนินมะปราง เจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิษฐานว่าสาเหตุน่าจะมาจากการที่นายพิทักษ์เป็นแกนนำในการประท้วงโรงโม่หิน ใน ต.ชมพูมาตั้ง แต่ปี 2539 และการเป็นผู้นำในการขับไล่ผู้นำท้องถิ่นคนหนึ่ง
waterpanda
[ 21 พ.ค. 2550 15:50:15 ]