: Home : Board : Articles : Expeditions : About us : Privacy Policy :

 


น้ำตกเล็กๆ ข้างทางก่อนถึงน้ำตกมวกเหล็กในวันฟ้าใส ที่นี่ และที่อุดมไปด้วยต้นตะไคร้น้ำ หรือ Cryptocoryne crispatula var. balansae


ตรงบริเวณที่มีน้ำไหลแรง ตะไคร่น้ำจะขี้นอยู่มากบริเวณนั้น และใบยาวจะทอดยาวไปตามกระแสน้ำ


ดอกของตะไคร่น้ำ มีคราบของตัวอ่อนแมลงปอเกาะไว้ สังเกตลักษณะที่ม้วนเป็นเกลียวของยอดดอก และลวดลายภายใน


ต้นตะไคร่น้ำที่อยู่ปริ่มน้ำ ใบจะสั้น และจะชูช่อดอกล่อรับแมลงให้ผสมเกสร ส่วนต้นที่อยู่ใต้น้ำจะออกดอกน้อยมาก แต่จะขยายพันธุ์โดย “ไหล”

ตะไคร่น้ำขึ้นอยู่ตามซอกหิน ใบสีแดง เพราะโดนแสงแดดจัด

ขึ้นอยู่บนหิน ปะทะกระแสน้ำที่ชะลงมาอย่างรุนแรง

สังเกตหินปูนที่เกาะโคนต้น พยุงต้นไว้ไม่ให้ไหลไปตามกระแสน้ำ


เต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ สวยแปลกตาทีเดียว

ต้นสันตวาใบใหญ่ (Ottelia alistemoides) จะขึ้นอยู่ที่น้ำนิ่ง และกลางแดดจัด


ต้นชบาน้ำ (Potamogeton sp.)

วัดคุณสมบัติของน้ำ ที่นี่ในน้ำมีหินปูนอยู่มาก pH จึงสูงถึง 7.8 อันขวาสุด คือวันความชื้นของอากาศซึ่งมีถึง 70% กลางแดดจัด ในที่โล่ง (ต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2545)
 

ระลึกถึงสาวน้อยทั้งเจ็ด

เรื่อง/ภาพ อาทิตย์ ประสาทกุล

1.

นิทานเรื่องแรก…

                กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงนัก หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ประกอบด้วยชาวบ้านไม่กี่ครัวเรือน อาศัยอยู่ด้วยการเลี้ยงสัตว์ และการปลูกผักเล็กๆ น้อย บางครั้งชาวบ้านก็จะนัดกันเข้าไปป่าล่าสัตว์ หาของป่าที่มีอยู่อย่างอุดมตามเทือกเขาดงพญาเย็น ในตอนกลางวัน ผู้ชายก็จะออกไปเลี้ยงสัตว์ หรือไม่ก็เข้าไปหาของป่า ส่วนผู้หญิงก็จะอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนดูแลลูกในวัยเล็ก และทำสวนครัวเล็กๆ รอบบริเวณบ้าน เด็กหนุ่ม และเด็กสาวก็จะจับกลุ่ม นัดกันออกไปเที่ยวเล่นในละแวกใกล้เคียงอย่างสนุกสนาน และสำราญใจ

เย็นวันหนึ่ง หลังจากผู้ใหญ่มีกลับจากป่าพร้อมกับหมูป่าตัวเขื่อง ที่แก และลูกบ้านวัยฉกรรจ์สามคนได้ช่วยกันไล่ลามา แกนั่งลงบนชานบ้าน แล้วบรรจงหยิบขันใส่น้ำเย็นยกเข้าปาก เพื่อให้หายจากความเมื่อยล้า และความเหน็ดเหนื่อยจากการเข้าป่าไปทั้งวัน แกออกไปตั้ง แต่ฟ้ายังไม่สาง ยายศรีผู้เป็นเมียก็ค่อยเข้ามาแจ้งข่าวร้ายให้กับผู้ใหญ่มีฟังทั้งน้ำตา

ผู้ใหญ่มีและยายศรีมีลูกสาวหลายคน แต่ที่เห็นว่าจะเป็นหัวแก้วหัวแหวนก็คงจะไม่พ้นน้องนุชคนสุดท้องที่ทั้งสองทั้งรัก และทะนุถนอมปานดวงใจ ลูกสาวลูกคนอื่นๆ มีผัวออกไปหมดแล้ว ก็คงเหลือ แต่แม่แก้วนี่แหละที่ยังอยู่กับตายายคู่นี้ แม่แก้วเป็นเด็กสาวที่น่ารัก ผิวสีน้ำผึ้งของเธอนั้นสวยเปล่งปลั่ง ใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารัก พร้อมทั้งมีกิริยามารยาทที่งดงาม สมกับเป็นลูกสาวของผู้นำหมู่บ้าน เธอเพิ่งแตกเนื้อสาว เป็นที่หมายปองของชายหนุ่มทั้งหมู่บ้าน และตำบลใกล้เคียง

วันนั้น วันที่ผู้ใหญ่มี และยายศรีสูญเสียลูกสาวคนรักของตนไปอย่างไม่มีวันกลับ แม่แก้ว และ เพื่อนอีก 6 คนได้ชวนกันไปเล่นน้ำตกที่ท้ายหมู่บ้านตั้ง แต่เช้าตามลำพังประสาหญิงสาว พวกเธอทั้งเจ็ดคนเพิ่งได้ออกไปเที่ยวไกลๆ ด้วยกันครั้งแรกตั้ง แต่เล่นกันมาตั้ง แต่เด็กตัวเล็ก  ท่ามกลางอากาศร้อนจัดในบ่ายวันนั้น แม่สายได้มาหายายศรีด้วยสีหน้าอันเศร้าสลด พร้อมทั้งบอกถึงข่าวที่ลูกสาวของตน และ เพื่อนๆ รวมถึงแม่แก้วของยายศรีด้วย ได้จมน้ำตายขณะไปเล่นน้ำตก

ทั้งหมู่บ้านที่เคยกึกก้องบัดนี้เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ที่แผ่วเบา และหยาดน้ำตาที่ไหลระริน

 

2.

นิทาน…อีกเรื่อง

กาลครั้งหนึ่งไม่นานมานี้ มีเด็กคนหนึ่งได้เติบโตขึ้นในเมืองหลวง เมืองที่มี แต่พื้นคอนกรีตแข็ง มี แต่ตึกรามบ้านช่อง มี แต่รถยนต์พ่นขวันขโมง และส่งเสียงแตรเจี้ยวจ้าวน่ารำคาญ เขาเคยได้ยินผู้ใหญ่พูดถึง “ป่า” ได้ยินบ่อยๆ   จริงๆ แล้วเขาไม่รู้จักว่าป่าเป็นอย่างไร รู้ แต่เพียงว่าป่า คือที่เต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์ และพฤกษชาตินานาพันธุ์ รวมทั้งต้นไม้ต้นใหญ่แบบที่เขาเคยเห็นที่บ้าน เมื่อเขาโตขึ้นพอที่จะเข้าโรงเรียนได้ คุณครูบอกเด็กน้อยคนนั้นว่า ป่าไม่ได้มีต้นไม้ใหญ่เพียงสิบหรือยี่สิบต้น แต่มันมีเป็นพันๆ แสนๆ ต้น และไม้ใหญ่เหล่านั้น คุณทวด หรือคุณตาของเขาไม่ได้ปลูก มันเกิดขึ้นเอง หรือไม่ก็อาจจะมีเทวดามาปลูก และรดน้ำพรวนดิน

พอเด็กน้อยคนนั้นได้เติบโตขึ้นเป็นเด็กหนุ่ม ความอยากรู้ว่าป่าเป็นอย่างไรของเขาก็ยังมีอยู่เหมือนเดิมเขาจำได้ว่า เมื่อยังเป็นเด็กตัวเล็ก เขาเคยถาม เพื่อนเหมือนกันว่ารู้จักป่าหรือเปล่า เพื่อนเขาไม่รู้ และถามตอบว่า ป่า คือขนมอะไรหรือ อร่อยไหม เขาตอบไปว่าไม่ใช่ แต่เขาก็ไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไร พอตอนนี้เขาเริ่มอ่านออกเขียนได้แล้ว เขาได้ทำความรู้จักป่ามากขึ้นจากหนังสือ นิตยสารต่างๆ ที่คุณพ่อของเขาซื้อให้อ่าน เขารู้สึกว่าเขาอยากไปเที่ยวป่า เพราะป่านั้นดูเขียวขจี มีต้นไม้ใหญ่ มีต้นหญ้าเล็ก มีดอกไม้สีสดชู่ช่อบานสะพรั่ง ยังมีสัตว์น้อยใหญ่ที่น่ารักน่าเอ็นดู เขารู้เพียงแค่นั้น แต่เขาก็ยังไม่เคยได้สัมผัสกับป่าจริงๆ สักครั้ง

โตขึ้น เขาถูกส่งให้ไปอยู่โรงเรียนประจำ โรงเรียนที่มี แต่เด็กๆ รุ่นราวคราวเดียวกันเต็มไปหมด เขามี เพื่อนมากกว่า 6 คน เขากินกับ เพื่อน เขานอนกับ เพื่อน เขาเล่นกับ เพื่อน เพื่อนของเขาหลายคนไม่รู้จักป่า และก็ดูเหมือนว่าไม่อยากรู้จักมันด้วยอีก เพื่อน แต่ละคนไม่เหมือนกันเลยแม้สักนิด แต่เขาก็เข้ากับ เพื่อนเหล่านั้นได้ดี และรักกันปานพี่น้องท้องเดียวกัน

ก็ เพราะความอยากรู้อยากเห็นในวัยเด็กของเขากระมัง ที่ ทำให้เด็กหนุ่มคนนี้ชอบต้นไม้ และป่าเขา เขาเริ่มทำฝันในวัยเด็กของเขาเป็นจริง แล้วในที่สุด เขาก็ได้ไปเที่ยวป่า ได้ไปสัมผัสความชุ่มชื้น และความชุ่มฉ่ำของความเขียวขจีดั่งที่เขาเคยอ่านเคยเห็นในหนังสือ เขาได้รู้ว่าป่าเป็นอย่างไร เขามีความสุข

 ทุกคืนก่อนนอน เขามักคิดถึงป่า เขามักคิดถึงธรรมชาติ เสียงน้ำตกดั่งลั่นในภวังค์ คิดถึงความสุขที่เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อที่ไหลระริน เมื่อได้ออกเดินทางสู่ความชุ่มชื้นเขียวขจี

 

3.

และ…นิทานสองเรื่องนี้…

                นิทานเรื่องแรก คือ ตำนานปรัมปราของน้ำตกเจ็ดสาวน้อย น้ำตกสวยแห่งอำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี อยู่ใกล้กับกรุงเทพเพียงแค่เอื้อม

                นิทานเรื่องที่สอง คือ ชีวิตของเด็กคนหนึ่งที่หลงใหลเสน่ห์อันเย้ายวนของธรรมชาติ อันแตกต่างไปจากสิ่งแวดล้อมที่เข้าได้ถือกำเนิดขึ้นมาในเมืองหลวงอันวุ่นวาย

                เด็กหนุ่มคนนั้นได้เดินเดินทางไปยังน้ำตกเจ็ดสาวน้อยที่มีตำนานอันแสนเศร้าหลายครั้งหลายครา ความสวยงามของน้ำตก ทำให้เป็นแหล่งพักผ่อนที่นิยมของคนที่อยู่ในละแวกใกล้เคียง และคนต่างถิ่น  น้ำตกเจ็ดสาวน้อยในวันนี้จึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งสำคัญของจังหวัดสระบุรี มีผู้คนคับคั่งหนาตาโดยเฉพาะในวันหยุดสุดสัปดาห์ ไม่ใช่เพียง เพราะกิตติศัพท์ความงดงามของตัวน้ำตกที่ ทำให้เขาเดินทางไปเยี่ยมเยือนเท่านั้น ธรรมชาติอันอุดม เต็มไปด้วยพฤกษชาตินานาพันธุ์ก็ย่อมเป็นสิ่งดึงดูดใจเขาไม่น้อย

                เขาโชคดีที่เกิดในสมัยที่การคมนาคมสะดวกรวดเร็ว การเดินทางไปยังน้ำตกเจ็ดสาวน้อย ใช้เวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมงจากรถยนต์จากกรุงเทพ ขับรถเรื่อยตามถนนพหลโยธิน ขึ้นสะพานเลี้ยวขวาก่อนที่จะถึงเมืองสระบุรีเข้าสู่ถนนกว้าง ต่อจากนั้นขับต่อไปอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ก็จะถึงทางแยกให้เลี้ยวซ้ายเข้าอำเภอมวกเหล็ก ขับรถตามป้ายมุ่งสู่น้ำตกเจ็ดสาวน้อย ไม่นานนักก็จะได้สัมผัสกับไอเย็นของน้ำตกที่มีตำนานอันแสนเศร้าแห่งนี้

                ทว่า เด็กหนุ่มกลับใช้เวลาอยู่ที่น้ำตกอย่างร่าเริง เบิกบานหฤทัย หลายครั้ง เขาเคยคิดว่าเขาน่าจะใช้เวลาสักครู่หนึ่งหยุดระลึกถึงสาวน้อยผิวบางทั้งเจ็ดที่ต้องสังเวยชีวิตให้น้ำตกแห่งนี้ก่อน แต่ก็ทุกครั้งเช่นกันที่เขาจะฉุกคิดว่านั่นมันเป็นเพียงตำนานเล่าขานกันมา เขาจึงมาอยู่กับความรู้สึกของเขาอีกครั้ง ความรู้สึกที่อิ่มเอมใจ

                 เมื่อเขาอยู่รอบๆ น้ำตก เขามักจะสนใจกับชีวิตของสรรพสิ่งในน้ำ เขาจะเดินก้มหน้าไปรอบๆ น้ำตก คอยสังเกตพืชพรรณ และสรรพสัตว์ที่อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขใต้น้ำ เขากึ่งหยุดกึ่งเดิน เขากึ่งลุกกึ่งนั่ง เขาเพ่งพิจารณาพรรณไม้น้ำสองสามชนิดที่อยู่โดยรอบ

                ไม้น้ำชนิดแรกที่เขาสนใจเป็นพิเศษ คือต้นตะไคร่น้ำ (Cryptocoryne crispatuala var. balansae) ซึ่งมีใบเรียวยาว (มากถึง 30 ซม.) ทอดไปตามความแรงของกระแสน้ำ ใบเรียวเหล่านั้น มีสีเขียวปนน้ำตาลแดงเมื่อสะท้อนกับแสงจ้าของดวงอาทิตย์ เมื่อดูใกล้ขึ้น ก็พบว่าตามใบเรียวนั้นมีรอยหยักที่ขอบใบ (undulate) และมีเป็นตุ่มลึก (bullated) ตามใบมีคราบหินปูนสีขาวเกาะอยู่คราครั่ง แสดงถึงความสภาพภูมิศาสตร์ที่เป็นภูเขาหินปูนได้ดี ต้นตะไคร่น้ำนี้มีลำต้นเป็นเหง้า (rhizome) ฝังตัวอยู่ใต้พื้นทราย และในบางครั้งก็แทรกลึกเข้าไปตามซอกหิน ต้นที่ขึ้นมานานก็มีหินปูนเกาะที่ราก ฝังตะไคร่น้ำต้นน้ำเข้ากับก้อนหินอย่างแน่นหนา ประหนึ่งว่าระบบรากมีความแข็งแรงจนสามารถทะลุทลวงเข้าไปยังก้อนหินแข็งได้   เหง้าเหล่านี้จะขยายต่อไปเป็นไหล (stolon) ใต้พื้นดิน และแทงใบขึ้นสู่น้ำ กลายเป็นต้นตะไคร่น้ำอีกต้นหนึ่ง

                 โดยส่วนใหญ่ ตะไคร่น้ำอยู่ใต้น้ำตลอดทั้งปี แต่ในหน้าแล้งเมื่อน้ำลดลง จะมีตะไคร่น้ำส่วนหนึ่งที่ขึ้นอยู่ริมตลิ่งหรือในที่ตื้นโผล่ขึ้นมาพ้นน้ำ สภาพใบที่เรียวยาวอันเป็นลักษณะของใบที่อยู่ใต้น้ำ (submerged) ก็จะค่อยเหี่ยวเฉา ใบเหนือน้ำ (emerged) ซึ่งสั้น และเรียวก็จะขึ้นมาแทนที่ และต่อมาไม่นานก็จะชู่ช่อดอกซึ่งมีลักษณะม้วนเกลียวขึ้นมาล่อเหล่าแมลงน้อย เพื่อให้ผสมเกสร  ลักษณะอันพิศวงของดอกนี้เองที่ ทำให้เด็กหนุ่มคนนั้นชอบใจกับไม้น้ำชนิดนี้เป็นพิเศษ ครั้งหนึ่งเขาเคยก้มลงไปดมดอกของตะไคร่น้ำ ก็พบว่ามันมีกลิ่นที่ไม่เหมือนกับดอกไม้ทั่วไป (ที่มีกลิ่นหอมหวนชวนให้สัมผัส) หากมีกลิ่นเหม็นอ่อนๆ เหมือนเนื้อเน่า เขากลับชอบมันมากขึ้นไปอีก อย่างน้อยมันก็เตือนใจให้เขาดำรงอยู่กับเนื้อแท้ของสรรพสิ่ง อย่าเพียงตัดสินจากรูปร่างภายนอกเท่านั้น

                นอกจากตะไคร่น้ำแล้ว ยังมีไม้น้ำอีกสองชนิดที่พบในน้ำตกเจ็ดสาวน้อย ชนิดหนึ่งอยู่กันเป็นพุ่มใหญ่กลางแอ่งน้ำนิ่งเย็นยะเยือก ใบอ่อนบางสีเขียวอ่อนสะท้อนกับแสงแดดจ้าเป็นความเขียวชอุ่มในน้ำ เด็กหนุ่มคนนี้รู้ทันทีว่าไม้น้ำชนิด คืออะไร พร้อมกับบ่นพึมพำในทำนองที่ว่า “เจอสัตวาใบใหญ่ที่นี่อีกแล้ว” ต้นสัตวาใบใหญ่นี้ (Ottelia alistemoides) สามารถพบได้ในแหล่งน้ำทั่วประเทศไทย และในภูมิภาคเอเชียรวมทั้งทวีปออสเตรเลีย ใบของมันมีขนาดใหญ่ และดูบอบบาง โค้งเว้าเข้าหากันดั่งถ้วยน้ำเมื่อมองจากด้านบน ในยามออกดอก มันจะทอดช่อดอกยาวขึ้นสู่ผิวน้ำ และเผยกลีบดอกขาวสีขาวบริสุทธิ์ที่ห้อมล้อมเกสรสีเหลืองไว้ ลวงให้เหล่าภุมรินได้มาไต่ตอม

                ขณะก้มๆ เงยๆ ทำอะไรแปลกๆ จนเป็นที่น่าสงสัยของชาวบ้าน เด็กหนุ่มน้อยก็ตกใจจากความเงียบในจิต เมื่อได้ยินเสียงห้าวของลุงคนหนึ่ง สอบถามว่าทำอะไรอยู่ ผมตอบคำถามของแกให้คลายสงสัย แกบอกว่า ต้นสัตวาใบใหญ่ที่เด็กหนุ่มเรียกนั้น คนแถวนี่เรียกว่า ต้นโตวา ต้นโตวาเอาไปกินได้ จิ้มกินกับน้ำพริก แต่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่ากับผักหญ้าชนิดอื่น เพราะมีรสเฝื่อน และเหม็นเขียว มีผู้เฒ่าผู้แก่ไม่กี่คนที่นิยมใบโตวาสด

                ไม้น้ำอีกชนิดหนึ่งที่เขาพบ คือ ต้นดีปลีน้ำ (Potamogeton sp.) ที่มักขึ้นอยู่ในบริเวณที่น้ำไหลเอื่อย ก้านของมันเป็นสายยาวทอดยาวไปกับน้ำ และมีใบเล็กออกมาเป็นคู่ตามข้อบนสายยาวนั้น เมื่อมองอย่างรวดเร็ว และไม่ตั้งใจแล้ว บางครั้งเขามักเข้าใจผิดว่าเป็นต้นตะไคร่น้ำทุกครั้งไป เพราะลักษณะใบเขียวที่ชะลู่ไปตามกระแสน้ำของไม้น้ำทั้งสองชนิดนั้นชวนให้สับสนยิ่งนัก

                ทุกครั้ง เมื่อเขาดูไม้น้ำชนิดต่างๆ อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ต้นไม้ต่างชนิดได้จับจองสภาวะแวดล้อมอันเหมาะสมสำหรับตนอยุ่อาศัย บ้างก็ชอบน้ำใสไหลเชี่ยวกราด บ้างก็ชอบน้ำใสไหลเอื่อย หรือบ้างก็ชอบน้ำนิ่ง  แม้ว่าต่างจะอยู่ในที่เฉพาะของตน แยกออกจากันชัดเจน แต่ไม้น้ำทั้งสามชนิดก็ได้ทำหน้าที่ของตนอย่างดีเยี่ยมในการดูดซึมแร่ธาตุต่างๆ รวมทั้งของเสียจากซากพืชซากสัตว์ และจากการขับถ่ายของสัตว์น้ำชนิดต่างๆ ยังประโยชน์ให้กับสายน้ำให้มีความใสสะอาดตลอดไป เขามักคิดในใจคนเดียวเสมอๆ เขาอยากให้ชีวิตในเมืองหลวงอยู่กันในสภาพแบบนี้บ้าง เขาไม่ชอบเลยกับการเห็นคนใส่ร้ายป้ายสีกัน ทะเลาะกัน หรือแก่งแย่งชิงดีกัน ด้วยเหตุนี้ด้วยกระมังที่ ทำให้เขาออกไปเยี่ยมเยือนธรรมชาติที่ต่างอยู่ด้วยกันอย่างสมานฉันท์ และดำรงตนเป็นผู้มีประโยชน์  ทั้งๆ ที่มีความแตกต่างอันหลากหลายยิ่งนัก

 

4.

นิทานเรื่องสุดท้าย

                กาลครั้งหนึ่งไม่นานมานี้ เด็กน้อยคนเดิม ซึ่งบัดนี้ได้โตขึ้นเป็นหนุ่มใหญ่ได้กลับไปเยี่ยมเยียนน้ำตกเจ็ดสาวน้อยอันเป็นที่รักอีกครั้งเมื่อต้นปี เขายังไม่เบื่อกับการไปสถานที่เดิมๆ เขาทำกิจกรรมอย่างเดิมๆ คือ เดินไปรอบๆ น้ำตก และก้มดูไม้น้ำที่เป็นสวยงามอันจับจิตของเขา เขาเดินไปเรื่อยๆ เขาเดินวนไปวนมา ซ้ำแล้ว…ซ้ำเล่าภาพต่างๆ แม้จะวนเวียนให้เขาได้เห็นไม่รู้กี่ร้อยครั้ง แต่เขากลับไม่เคยหน่ายกับมันเลย

                ชีวิตเปี่ยมด้วยความสุขฉันใด ย่อมเต็มไปด้วยความทุกข์ฉันนั้น สุขทุกข์เป็นธรรมดาของมนุษย์ เช่นกัน การกลับมาเยี่ยมน้ำตกเจ็ดสาวน้อยในครั้งนี้ หนุ่มน้อยไม่ได้กลับไปด้วยความปีติยินดี หากต้องพกเอาความปวดร้ายไปในจิตใจ น้ำตกเจ็ดสาวน้อยที่เขารักในวันนี้ มีคนเจตนาไม่บริสุทธิ์กับมันแล้ว

                ณ ที่เดิม เวลาเดิม เขากลับไปดูตะไคร่น้ำกลุ่มใหญ่ที่เขามันแวะเวียนไปทักทายทุกครั้งที่เขามาน้ำตกแห่งนี้ เขาเห็นความเปลี่ยนแปลงกับไม้น้ำกลุ่มนี้ จากใบอ่อนเป็นใบแก่ จากเล็กเป็นใหญ่ แต่ครั้งนี้ เขาพบว่ามีคนมาเอาของรักในจิตใจของเขาไป ตะไคร่น้ำกอนั้น ไม่ได้อยู่ตรงนั้นอีกแล้ว เหลือไว้เพียงรากขาวที่สมควรที่จะอยู่ใต้ผืนทราย เป็นร่องรอยของการขุด ใครมาเอามันไป เขาสบถกับตัวเอง

                เขาไม่รีรอที่จะกระหืดกระหอบไปถามชาวบ้านที่ดูแลน้ำตกเล็กๆ ริมถนนสู่วนอุทยานน้ำตกเจ็ดสาวน้อย มันเป็นที่เอกชน ที่เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยว ขายอาหาร และให้คนมาเล่นน้ำ และเขาก็ได้ยินสิ่งที่ทำร้ายจิตใจของเขาไปอีก “มีคนมาขอเก็บ ป้าเห็นว่าดี มันดูสกปรก เลยให้เอาไปฟรีๆ ” “เอาไปเป็นถุงปุ๋ยเลย ดีแล้ว น้ำจะได้ไม่เน่า” คำพูดไม่กี่คำดังลั่นในจิตสำนึกของเขา ทำไมผู้คนถึงดูถูกดูแคลนมันถึงเพียงนี้ มันไม่เคยทำร้ายใคร แถมยังให้ประโยชน์ ดูดแร่ธาตุที่ไม่จำเป็น และยึดตะกอนดินตะกอนทรายไว้ ให้น้ำในน้ำตกแห่งนี้บริสุทธิ์ และใสสะอาด เป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตนานาพันธุ์

                จริงอยู่ตะไคร่น้ำไม่มีประโยชน์ชัดเจน มันกินไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่ามันทำกำไรเป็นกอบเป็นกำให้พวกพ่อค้าที่เอามันไปขายให้กับฝรั่ง เพื่อเป็นไม้น้ำประดับตู้ปลา ที่มีคนมาเก็บเอาไปเป็นถุงปุ๋ยนั้น เขาถูกจ้างมา เอามันไปตัดราก เพาะชำใหม่สักพักในโรงเรือน ไม่นานก็เอาไปส่งออก หรือขายในตลาดปลาสวยงามในประเทศได้ พวกนี้ทำธุรกิจโดยไม่ต้องลงทุน มาปู้ยี้ปู้ยำธรรมชาติ เด็กหนุ่มคนนั้นไม่สบอารมณ์

                ตลอดทางกลับบ้าน เขาเหม่อลอย ระลึกถึงสาวน้อยทั้งเจ็ดด้วยใจระทม        

 

more survey ...

 

www.siamensis.org - Thailand Fish & Nature Explorer
An independent non-profit group
Established 2001
 All Rights Reserved 2001-2010 ©siamensis.org