อุทยานแห่งชาติคลองวังเจ้า
เรื่อง/ภาพ
นณณ์ ผาณิตวงศ์
หน้าที่การงานพาผมมาถึงเมืองชากังราว
(ชื่อเดิมของจังหวัดกำแพงเพชร) อีกครั้ง คราวนี้เนื่องจากเวลาน้อย
ผมเลยหนีไปเที่ยวไกลๆ ไม่ได้ แต่ผมก็มีแผนอยู่ในใจเรียบร้อยแล้ว
เพราะทุกครั้งที่ผมขับรถจาก จ. กำแพงเพชร ขึ้นเหนือไปทาง จ.ตาก
ป้ายชื่ออุทยานแห่งชาติคลองวังเจ้าก็จะโผล่ออกมาหลอกหลอนอยู่ริมทางเสียทุกครั้งไป
กะๆ ดูแล้วจากตัวเมืองกำแพงเพชรไปบนถนนสายเอเซียไม่น่าจะเกินครึ่งชั่วโมงก็ถึงทางเลี้ยว
แล้วหนังสือบอกว่าต้องต่อเข้าไปอีกแค่ ๓๐
กิโลเมตรเท่านั้นก็จะถึงน้ำตกพอดิบพอดี ไม่ไกลๆ ฮ่า ฮ่า
ผมแอบวางแผนไว้ในใจเงียบๆ
แล้วในตอนเที่ยงวันจันทร์หลังจากสะสางงานเสร็จแล้วโอกาสก็เป็นของผม
เทปเพลงม้วนใหม่(ของผม แต่เก่าของคนอื่น)ที่เพิ่งซื้อมาจากร้านแบกะดินของวง
Queen เปิดดังก้องรถ
ปลุกให้ผมคึกคักขึ้นไปอีก
และก็เป็นไปจริงตามคาด คือไม่ถึงครึ่งชั่วโมงผมก็มาถึงทางแยก
เลี้ยวเข้าไปอีกประมาณ ๓๐ กิโลเมตรจริงๆ ก็ถึงด่านของอุทยานฯ
ไปอีกสักพักก็เจอที่ทำการอุทยานฯผมเลยแวะไปขอข้อมูลของอุทยานแห่งชาติคลองวังเจ้าเพิ่มเติมเสียหน่อย
อ.ช.
คลองวังเจ้าได้รับการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติ ลำดับที่ ๖๓
ของประเทศไทยเมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๓ มีขนาดพื้นที่ประมาณ
๔๖๖,๕๗๔ ไร่ อยู่ในเขต อ.คลองลาน, อ.เมือง จ.กำแพงเพชร และ อ.เมือง
จังหวัดตาก
ด้วยความสมบูรณ์ของทรัพยากรป่าไม้ และสัตว์ป่า
โดยเฉพาะป่าสักผืนใหญ่ที่หายากในภาคเหนือตอนล่าง
ตลอดจนแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติเช่น น้ำตกคลองวังเจ้า
น้ำตกเต่าดำ น้ำตกคลองน้ำแดง และน้ำตกคลองสมอกล้วย
ทำให้นักเดินทางรุ่นแล้วรุ่นเล่าเข้ามาเยือนมาสัมผัสความงามที่บริสุทธิ์ของผืนป่าแห่งนี้ไม่ขาดสาย
สภาพภูมิประเทศของ อ.ช.
คลองวังเจ้าเป็นเทือกเขาสลับสับซ้อนวางตัวในแนวเหนือ-ใต้
เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาถนนธงชัย
มีที่ราบอยู่ทางตอนกลางของพื้นที่ ๒ แอ่ง
มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ ๓๐๐-๒,๐๐๐ เมตร
สถานที่เที่ยวที่น่าสนใจ คือน้ำตกคลองวังเจ้า
(ซึ่งผมกำลังจะไปในวันนี้ เพราะอยู่ใกล้ที่สุด และรถเข้าถึงได้)
น้ำตกเต่าดำซึ่งมีทั้งหมด ๓ ชั้น แต่ละชั้นสูงกว่า ๒๐๐ เมตร สวยอลังการณ์แน่ๆ แต่ด้วยความยากลำบากของเส้นทางผมจึงต้องขอบายไปก่อนในคราวนี้
น้ำตกที่น่าสนใจอีกแห่ง คือน้ำตกคลองโป่งซึ่งเป็นน้ำตกหินฉนวนแห่งเดียวของเมืองไทย
แต่ถ้าอยากดูต้องเดินป่าเข้าไปถึง ๒ วัน
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผมอดไปอีกเช่นกัน
ผมจอดรถในลานจอดที่กว้างขวาง แต่วันนี้มีรถผมจอดอยู่คันเดียว (ว่ะ
ฮ่า ฮ่า ฮ่า อุทยานแห่งชาติส่วนตัว)
ผมจัดการเปลี่ยนกางเกงเป็นกางเกงผ้าร่มแบบที่ไม่อมน้ำ
จัดเตรียมอุปกรณ์ถ่ายรูป แล้วก็แบกทั้งหมดบนหลัง และอีก ๒
มือเดินตามทางลงสู่น้ำตกซึ่งตอนนี้ได้ยินเสียงซู่ซ่าอยู่ใกล้ๆ นี่เอง
ถึงแม้เจ้าหน้าที่จะยืนยันว่าฝนไม่ตกมาหลายวันแล้ว
แต่กลางหน้าฝนอย่างนี้ผมก็ไม่หวังว่าน้ำจะใส
เส้นทางตัดผ่านป่าไผ่โปร่งๆ ในที่สุดก็พาผมมาถึงริมลำธารซึ่งเป็นลานหินขนาดใหญ่
น้ำในลำธารใสใช้ได้เลยทีเดียว
ผิดคาดในทางที่ดีแบบนี้ค่อยน่าชื่นใจหน่อย คลองวังเจ้าซึ่งกว้างสัก
๑๐ เมตร วันนี้ใสแจ๊วไร้ซึ่งฝุ่นตะกอน
จะมีก็ แต่เพียงติดสีเหลืองๆ ซึ่งเป็นปกติของน้ำตกที่ไหลผ่านป่าดงดิบสมบูรณ์ผ่านซากพืชที่ทับถมกันหลายชั้นแบบนี้ที่จะมีการละลายของสารแทนนินลงมาในน้ำ ทำให้เป็นสีเหลืองๆ ลดค่าความเป็นกรด/ด่างลงมาหน่อย และเป็นสารต่อต้านเชื้อโรคในธรรมชาติอย่างอ่อนๆ ช่วยให้ปลาอยู่สบาย แต่ผมขัดใจในการถ่ายภาพ
ในน้ำฝูงปลาสีเงินๆ กำลัง และเล็มตะไคร่อยู่ริมก้อนหินใหญ่ๆ
ทุกครั้งที่มันผลิกตัว เพื่อชอนไชตะไคร่เกล็ดสีเงินก็จะสะท้อนกับแสงอาทิตย์มาเข้าตาผม
ปลาตัวสีเงินๆ แบนข้างเล็กน้อยหัวแหลมๆ อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำไหลแบบนี้
ลูกปลาจาดแน่นอนไม่มีผิดพลาด
ที่คลองวังเจ้าแห่งนี้มีจำนวนลูกปลาจาดหนาแน่นที่สุดตั้ง แต่ผมเคยเห็นมา
และข้อน่าสังเกตอีกอย่าง คือที่นี่มีลูกปลาพลวงให้เห็นน้อยกว่าปลาจาดมาก
(โดยปกติแล้วผมจะพบลูกปลาพลวงมากกว่าปลาจาด)
ผมถอดเสื้อยืดออก
มองไปรอบๆ อีกครั้ง ไม่มีคนก็ดีเหมือนกัน ทำอะไรได้สะดวกสบายดี
บางครั้งพอมีนักท่องเที่ยวมากๆ แล้วผมไปคนเดียว
ผมก็ไม่ค่อยกล้าจะทิ้งอุปกรณ์กล้องไปดำน้ำต้องคอยห่วงหน้าพะวงหลัง
แต่คนเยอะๆ ก็ดีตรงที่มี เพื่อนอยู่ด้วย
มาคนเดียวเดี่ยวๆ แบบนี้ต้องดูแลตัวเองให้ดี เพราะถ้าเป็นอะไรขึ้นมาลำบากแน่ๆ
แต่เอาเหอะโตจนป่านนี้แล้วบ่นหงุ่มหงิ๋มๆ อยู่ได้ ลงน้ำได้แล้วเฟ้ย
บริเวณที่ผมลงไปจุดแรกเป็นจุดที่น้ำค่อนข้างลึก และไหลเอื่อยๆ ผมว่ายวนไปรอบๆ ก็มี แต่หน้าแหลมๆ เดิมๆ ของพวกปลาเวียน
ผมเลยโผตัวออกไปตรงจุดที่น้ำไหลแรงขึ้น
หินก้อนใหญ่ๆ สองก้อนวางขนานไปกับทางน้ำ
ซึ่งถูกรีดจนน้ำในช่องนั้นไหลแรงเป็นพิเศษ ลูกปลาเลียหิน
(นกกระจอก) ขนาดเล็กๆ สักนิ้วกว่าๆ
ตัวกำลังน่ารักหลายสิบตัวเลาะเล็มหาอาหารกันอยู่
(ขนาดพอๆ กับที่มีมาขายที่สวนจตุจักรเป็นปลาตู้
แต่พวกนั้นเป็นปลาที่ได้จากการผสมเทียมครับ
ถือเป็นตัวอย่างที่ดีของความพยายามที่ดีในการไม่รบกวนธรรมชาติ และเพิ่มผลผลิต เพื่อการส่งออก)
ปกติผมไม่เคยเห็นลูกปลาของปลาชนิดนี้เยอะขนาดนี้ในธรรมชาติ
รู้ แต่ว่าพวกมันผสมพันธุ์วางไข่ในหน้าฝน มาเจอตัวเยอะๆ ก็คราวนี้เอง
ลูกปลาตัวเล็กๆ จะมีแถบสีทอง และดำคาดอยู่พลิกตัวไปมาอยู่ในน้ำที่ไหลเชี่ยว
แถมยังเชื่องไม่ตื่นคน ดูสวยงามมาก
ผิดกับตัวใหญ่ที่จะกลายเป็นสีเขียวมะกอก และมีลายสีทึมๆ พาดไปตามข้างตัวเท่านั้น
ยังมีปลาอีกชนิดที่ผมตามหา
ปลาสกุลโปรดของผม ปลาค้อ ปลาค้อ ปลาค้อ
ผมค่อยๆ ลัดเลาะไปตามซอกน้ำไหล เพื่อไปให้ถึงแก่งเล็กๆ ข้างหน้า
แล้วในที่สุดปลาค้อตัวแรกก็ปรากฏต่อสายตาให้ผมได้ยินดี
พวกมันเป็นปลาค้อลายปล้องสีเขียวมะกอกตัดกับสีเหลืองตุ่นๆ
ขอบหางทั้งบน และล่างมีสีแดงเรื่อยๆ ที่ต้นครีบหลังมีจุดประสีแดง-ดำ
เป็นลายคลาสสิคของปลาค้อ
ซึ่งมีลักษณะอย่างนี้หลายชนิดมากๆ เกินปัญญาผมจะเดาได้
จึงต้องทำการเก็บตัวอย่างถ่ายรูปกับมาให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบต่อไป
ผมเกาะหินเฝ้าดูพวกปลาค้อตัวเล็กใหญ่อยู่พักใหญ่
เมื่อเงยตัวขึ้นก็พบว่ามีวัตถุยาวๆ รีๆ และเปียกๆ พาดอยู่บนหัว และไหล่
ผมตกใจรีบสะบัดออกแล้วก็พบว่าวัตถุดังกล่าวคืนเถาวัลย์ที่ขาดลอยน้ำมาหลอกให้ตกใจเล่น
เนื่องจากจุดที่ผมลงมานี้เป็นจุดเหนือน้ำตก
ผมเลยขึ้นจากน้ำแล้วก็กระโดดฉึบๆ ไปบนลานหิน ข้ามน้ำเล็กๆ อีก ๒-๓
ทีก็มายืนอยู่ตรงจุดที่น้ำตกคลองวังเจ้าตกลงสู่แอ่งน้ำขนาดใหญ่เบื้องล่าง
ป้ายเหนือน้ำตกติดไว้อย่างเอาการเอางานว่า (น้ำลึกห้ามลงเล่น
ฝ่าฝืนปรับ ๕๐๐ บาท)
มองดูแล้วคนจะลงไปเล่นตรงจุดนี้ไม่โง่มากๆ ก็บ้าแน่ เพราะน้ำไหลเชี่ยวจนขาว และตกลงไปอีกตั้ง
๒๐ กว่าเมตร อย่าว่า แต่ปรับ ๕๐๐ บาทเลยครับ จ้างให้ผมลงไปเล่น
๕,๐๐๐ ผมยังไม่ลงเลย
ผมยืนอยู่บนหน้าผามองลงไปด้านล่างเห็นมีหาดเล็กๆ อยู่
เล็งดูว่าจากมุมนั้นน่าจะเห็นน้ำตกได้ชัดเจน
นึกแปลกใจว่าทำไมเจ้าหน้าที่ถึงทำทางให้มาโผล่อยู่เหนือน้ำตก
ผมเลยคว้ากล้องตัวเก่ง ลองเดินอ้อมลงไปดู แต่ก็ปรากฏว่าไม่ได้เรื่อง เพราะน้ำตกทำมุมหลบอยู่ในซอกหินอย่างน่าเสียดาย
แต่การลงมาก็ไม่ถือว่าเสียเที่ยวซ่ะทีเดียว เพราะริมทางเดินมีเฟิร์นสวยๆ ขึ้นอยู่หลายต้น
นอกจากนั้นยังมีต้นไม้กลุ่มที่ผมสนใจอย่างต้นบุก, ต้นเข้าพรรษาดอกสีเหลือง และดอกกระเจียวสีขาวต้นเล็กๆ
แถมที่หน้าผาหินที่ผมลงมายังมีซอกเหลือบพอสมควรดูแล้วน่าจะเป็นที่อยู่ของจิ้งจก,ตุ๊กแก,ตุ๊กกาย,
และ สัตว์เลื้อยคลานอื่นๆ ได้ดีผมเลยเล็งไว้ว่าพลบค่ำเมื่อไหร่จะลองมาสำรวจดูเสียหน่อย
เริ่มเย็นแล้ว
ผมกลับไปดำน้ำเล่นอีกครั้ง
คราวนี้ผมพบว่าปลาค้อหลายตัวย้ายมาหากินกันอยู่บริเวณที่น้ำไหลเอื่อยๆ เป็นฝูงกับพวกปลาเวียนในขณะที่ตรงจุดน้ำเชี่ยวมีตัวน้อยลง
(ก่อนหน้านี้ตอนช่วงบ่ายผมไม่เห็นปลาค้อในบริเวณน้ำไหลเอื่อยๆ เลย)
พื้นน้ำบริเวณดังกล่าวเป็นทรายเม็ดหยาบๆ
ถึงแม้ผมจะค่อยๆ เดินก็ ทำให้ทรายปลิวขึ้นมาเสียทุกครั้ง
หลังจากเดินวนดูไปรอบๆ ผมก็พบว่าฝูงลูกปลาเวียนว่ายตามหลังผมไปเรื่อยๆ
คอยรอเก็บกินอาหารที่ผมเตะฟุ้งขึ้นมา ทำให้ผมรู้สึกเหมือนเจ้าทุยที่นกเอี้ยงเกาะหลังรอให้ลุยหญ้าให้แมลงตื่นออกมาให้จับกินเหลือเกิน