ต้นแม่น้ำบางปะกง
๑๗ เมษายน พ.ศ.๒๕๔๗
เรื่อง:กุ๋ย เรียบเรียงอีกที โดย แนนซี่
ภาพ/บรรยายภาพ:
นณณ์ ผาณิตวงศ์
ท่ามกลางความร้อนแรงแห่งแสงสุริยาที่ถั่งโถมสาดส่องลงมาแผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างบนพื้นผิวโลกอย่างบ้าคลั่งกลางเดือนเมษายนแบบนี้
คุณจะทำอะไรกันดี?
บางคนเลือกที่จะหลบซ่อนตัวกบดานนิ่ง เปิดแอร์เย็นๆ อยู่ในบ้าน
บางคนก็เลือกที่จะหลบหนีความร้อนออกไปเดินตากแอร์เย็นๆ ตามห้างสรรพสินค้า..ในขณะที่บางคนกลับเลือกที่จะเผชิญหน้ากับความร้อนแรงของแสงแดด
ออกไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ... แต่ไม่ว่า คุณจะเลือกการ หลบนิ่ง
วิ่งหนี หรือ เผชิญหน้า ก็ไม่สามารถบอกได้ว่า
วิธีไหนเป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่มันน่าจะเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุดเฉพาะของ แต่ละคนมากกว่า..ซึ่งก็ไม่ได้ต่างอะไรกับสัตว์ป่าทั่วๆ ไป
ที่บางชนิดก็เลือกที่จะหลบซ่อนตัวอยู่นิ่งๆ
ในซอกรูหรือพรางตัวนิ่งๆ เพื่อเอาตัวรอดจากศัตรู
แต่บางชนิดก็เลือกที่จะวิ่งหนีศัตรูให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ในขณะที่บางชนิดกลับเลือกที่จะเผชิญหน้ากับศัตรูอย่างพร้อมจะต่อสู้ในรูปแบบเฉพาะของตัวมันเอง
สัตว์ป่าทั้งหลายต่างก็รู้ดีว่า
มันควรจะเลือกทำตามสัญชาตญาณแบบไหนอย่างไรจึงจะเหมาะสมกับตัวมันเองที่สุดในการเอาตัวรอดให้ได้
จากศัตรูที่น่ากลัวในธรรมชาติ...
NE 37 C
ปรากฏบนหน้าจอแสดงผล ภายในรถ Jeep
สีทอง เพื่อบอกให้คนทั้งสามคนที่วันนี้มีสัญชาตญาณในการเผชิญหน้าแบบบ้าๆ เหมือนๆ กันทราบว่า
ขณะนี้มันกำลังพาทุกคนมุ่งหน้าสู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือภายใต้อุณหภูมิ
37 องศาเซลเซียส ...
วันนี้ผมกับน้องแนนขึ้นรถบัสออกเดินทางจากชลบุรีมาตั้ง แต่เช้ามืด เพื่อมาเจอกับ นณณ์ที่จุดนัดหมายเดิม แต่ เพราะเกิดอุบัติเหตุทางเวลากับผมนิดหน่อย(
อิๆ )..
ทำให้มาถึงจุดนัดหมายช้ากว่าเวลาที่กำหนดไว้จนได้...ซึ่งก็เพียงพอที่จะ ทำให้นณณ์
์ต้องรอจนเริ่มจะเบื่อได้เหมือนกัน เห่ะๆ ๆ โทษทีกั๊บ ^_^!
...เดิมวันนี้เราตั้งใจกันว่าจะไปสำรวจแหล่งน้ำ ดูปลากันที่
เขาใหญ่ กัน แต่เกรงว่ารถจะเยอะคนจะแยะ....ก็เลยเปลี่ยนหมาย
ไปเป็นที่อุทยานแห่งชาติทับลาน แทนสถานที่แห่งนี้น่าสนใจ เพราะเป็นแหล่งต้นน้ำของแม่น้ำ
2 สายที่มีปลาแตกต่างกันอย่างสิ้นเฉิง
คือต้นแม่น้ำบางปะกงซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของลุ่มน้ำภาคกลาง แต่ถ้าข้ามเขาไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ
ลำธารบนนี้ก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของลุ่มน้ำโขง
หรือต้นแม่น้ำมูลนั่นเอง
อุทยานแห่งชาติทับลาน
เป็นอุทยานฯที่มีพื้นที่กว้างใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศ
ครอบคลุมพื้นที่ตำบลบุพราหมณ์ในเขตอำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี,
อำเภอปักธงชัย อำเภอวังน้ำเขียวอำเภอครบุรี อำเภอเสิงสาง
จังหวัดนครราชสีมา และอำเภอปะคำ จังหวัดบุรีรัมย์
รวมพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 1,400,000 ไร่ เป็นอุทยานฯ
ที่มีสภาพป่าที่อุดมสมบูรณ์
มีป่าลานขึ้นตามธรรมชาติซึ่งถือเป็นป่าลานผืนใหญ่แห่งสุดท้ายของประเทศไทย
พี่นณณ์ ต้นใหญ่ๆ นั่นต้นอะไรคะ ? เสียงน้องแนน
ถามนณณ์เมื่อเริ่มมองเห็นต้นไม้ใหญ่รูปร่างแปลกตาตามสองข้างทางหลังจากที่พวกเราออกมาจากแยกกบินทร์
ได้สักประมาณครึ่งชั่วโมง เนี๊ย? ก็ต้นลานอ่ะดิ
นณณ์ตอบ ..ผมมองตามสายตาน้องแนนขึ้นไปจนเห็นต้นลานขนาดใหญ่
ทำให้ผมนึกถึงคำพูด ที่ว่า..ใครที่ทุบตีพ่อตีแม่
ตายไปจะกลายเป็นเปรต ปากเล็กเท่ารูเข็ม มือใหญ่เท่าใบลาน
โอ้โห มือใหญ่เท่าใบลาน !!!
ผมก้มมองมือของตัวเองที่กางออกจนสุด และเงยหน้าขึ้นมองไปที่ใบลานซึ่งถือเป็นหนึ่งในใบไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกครั้ง
พลางคิดจินตนาการอะไรต่อมิอะไรไปต่างๆ นานา
ต้นลานเป็นไม้วงศ์ปาล์ม
ที่ขึ้นอยู่เฉพาะถิ่นมีขึ้นอยู่แค่เพียงเฉพาะบางท้องที่เท่านั้น
ทำให้มีการแพร่กระจายที่แคบมาก ซึ่งอาจเป็น เพราะว่า
ต้นลานเป็นต้นไม้ที่มีการเจริญเติบโตช้ากว่าจะออกดอกได้ต้องมีอายุถึง
20-30 ปี และกว่าดอกจะกลายเป็นผลก็ยังใช้เวลาอีกตั้ง 1
ปีพอผลเริ่มที่จะร่วงลงพื้นเมื่อไหร่
ต้นลานต้นนั้นก็พร้อมที่จะตายได้ทันที
..ไม่นานนัก เราก็ได้เห็นป่าลาน
ขึ้นแน่นทึบเต็มไปหมดทางด้านขวามือซึ่งเป็นจุดที่ตั้งของที่ทำการอุทยานแห่งชาติทับลาน
แต่นณณ์ตัดสินใจขับรถผ่านไปก่อน เพื่อจะไปยังหมายที่เราต้องการสำรวจก่อน...ตลอดเส้นทางจะข้ามผ่านสะพานเล็กๆ
มากมาย สร้างความตื่นเต้น ให้พวกเราคอยลุ้นอย่างมีความหวังทุกครั้งที่รถข้ามผ่าน
ว่า
น่าจะพอมีน้ำใสไหลผ่านให้เห็นบ้าง.. แต่สิ่งที่เห็นกลับเป็นแค่เพียงผืนดินที่แห้งผากหรือไม่ก็ดงหญ้ารกร้างไม่มีน้ำให้เห็นเลยแม้ แต่หยดเดียว..
น้องครับ ที่นี่ยังมีน้ำอยู่รึเปล่าครับ
ผมเลื่อนกระจกรถลงแล้วตะโกนถามเด็กชาวบ้านสองคนที่นั่งอยู่ในศาลารอรถ
ไม่มีแล้วครับ แห้งหมดแล้วครับ เด็กทั้งสองคนช่วยกันตอบ พอมีบ้าง
หรือ ไม่มีเลยครับ
ผมถามย้ำอีกที เพื่อความแน่ใจ.."ไม่มีแล้ว
ครับ ......เฮ้อออออออออออ....แห้วอีกแล้ว!.....เมื่อเราได้ฟังคำตอบเช่นนี้
จึงตัดสินใจที่จะหยุดพัก เพื่อตั้งหลัก และสร้างขวัญกำลังให้กับตัวเองกันก่อนโดยการแวะกินก๋วยเตี๋ยวกันที่ร้านข้างๆ
ศาลานี้แหล่ะจะได้ถือโอกาสถามไถ่ชาวบ้านบริเวณนั้นถึงแหล่งน้ำต่างๆ ไปด้วย
หลังจากที่ผิดหวังแล้วผิดหวังอีก ซ้ำๆ
กันไม่รู้กี่ครั้งแล้วในวันนี้ เราซัดก๋วยเตี๋ยวกันชนละชาม
ก่อนที่นณณ์จะตัดสินใจบังคับให้เจ้า Jeep สีทอง
วิ่งบึ่งพาพวกเรามุ่งหน้าขึ้นเขาสู่อำเภอวังน้ำเขียวต่อไปอย่างมีความหวัง
โดยไม่ยอมหมดความพยายามลงง่ายๆ พวกเรามุ่งหน้าไปตามเส้นทางหลวงหมายเลข
304 ได้สักพัก
นณณ์ก็ตัดสินใจเลี้ยวซ้ายเข้าไปตามป้ายที่เขียนบอกไว้ว่า
เขาแผงม้า ด้วยความหวังที่จะได้เจอแหล่งน้ำกันบ้างซักที มันน่าจะมีน้ำบ้างหล่ะน่า
นณณ์พูดพึมพัมคนเดียวเหมือนเป็นการให้กำลังใจตัวเอง
พวกเรามุ่งหน้าไปตามเส้นทาง
ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่ทำกินของชาวบ้าน
ไร่มันสำปะหลัง และทุ่งหญ้าโล่งๆ ภูเขาหัวโล้นที่ค่อนข้างแห้งแล้ง
ทั้งๆ ที่ในอดีตที่แห่งนี้เคยเป็นป่าดิบชื้น และป่าดิบแล้งที่อุดมสมบูรณ์จนเป็นพื้นที่ต้นน้ำลำพระเพลิงซึ่งไหลลงสู่แม่น้ำมูล
แต่เนื่องจากในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ป่าแห่งนี้กลับถูกบุกรุกคุกคาม
แผ้วถางตัดไม้ทำลายป่าจนกลายสภาพเป็นภูเขาหัวโล้นอย่างที่เห็น..จนกระทั่งเมื่อปี
2537 มูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่า และพรรณพืชแห่งประเทศไทย
ในพระบรมราชินูปถัมภ์
ได้เข้ามาดำเนินการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองราชย์ เป็นปีที่ 50
และร่วมมือกับชาวบ้านท้องถิ่นช่วยกันป้องกันไฟป่า และพลิกฟื้นผืนป่าแห่งนี้ขึ้นมาจนกลายเป็นป่าที่ชุ่มชื้นขึ้น
เริ่มมีฝูงกระทิง และสัตว์ป่าชนิดต่างๆ
กลับมาหากินให้เห็นในพื้นที่ปลูกป่าได้ทุกวัน ทำให้ความสัมพันธ์ในระบบนิเวศที่เกื้อหนุนกันให้เกิดความสมดุลในธรรมชาติเริ่มเกิดขึ้นที่นี่อีกครั้ง..
ไม่นานนักเราก็มาถึงศูนย์ประสานงาน มูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่า และพรรณพืชแห่งประเทศไทยฯ
บนเนินเขา สอบถามได้ความว่า ฤดูแล้งแบบนี้แหล่งน้ำในแถบจะแห้งหมด
ส่วนกระทิงนั้นก็มักจะออกมาตอนเย็นๆ ในหุบเขาที่เราต้องขับรถเข้าไปอีกตามทางดินลูกรัง
เราจึงเลือกซื้อของที่ระลึกใน ร้านกล้วยป่า
ก่อนจะตัดสินใจถอยกลับออกมาอย่างผิดหวัง(อีกแล้ว) ตรงปากทางออกมีป้ายบอกชี้ให้เลี้ยวซ้ายไปน้ำตกสวนห้อม
พวกเรามีความหวังขึ้นอีกครั้ง แต่สุดท้ายพวกเราก็หลงทาง
ถูกปล่อยทิ้งโดยป้ายบอกทาง
และยังมีอีกหลายน้ำตกที่พวกเราพยายามจะไปกัน แต่สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ เพราะชาวบ้านบอกว่าไม่มีน้ำแล้ว
บ่าย 2 โมงกว่าแล้ว
พวกเรายังไม่เจอน้ำกันเลยแม้ แต่หยดเดียวตัวเลขอุณหภูมิที่แสดงบนหน้าจอแสดงผลในรถ
ก็ขึ้นไปถึง 39 องศาเซลเซียสแล้ว...ความร้อนแรงแห่งแสงแดดเพิ่มสูงขึ้น
ในขณะที่ความร้อนแรงแห่งไฟปรารถนาในใจเริ่มแผ่วลง
กลับไปเดินจตุจักรกันดีกว่า
นณณ์พูดอย่างเริ่มหมดหวังผมเองก็ชักจะเห็นด้วยซะแล้ว..พี่คะ
ไปเที่ยวแก่งหินเพิงกันมั๊ยค่ะ แนนอยากไปดูที่ล่องแก่ง
น้องแนนพูดขึ้นมาหลังจากที่นึกถึงป้ายโฆษณาที่ติดไว้ที่ร้านก๋วยเตี๋ยว
อืมมมม...จริงสิ ! มันน่าจะมีน้ำบ้างนะ
ผมเห็นด้วยขณะที่มองเห็นป้ายทางเข้าแก่งหินเพิงอยู่เบื้องหน้า
เราไม่มี เวลาคิดตัดสินใจกันมากนัก
ในที่สุด นณณ์ก็ตบไฟเลี้ยวขวาทันทีก่อนจะมุ่งหน้าสู่ความหวังสุดท้ายของพวกเรา..
เจ้าสีทองพาพวกเราผ่านถนนดินขรุขระ มาสักพัก
ก็มาถึงด่านของหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ที่ 9 (ขญ.9)
ซึ่งทำหน้าที่รับผิดชอบควบคุมดูแลพื้นที่นี้อยู่
ทางเจ้าหน้าที่บอกเราว่าถ้าจะมาเที่ยวล่องแก่ง
จะต้องมาในช่วงฤดูฝนราวเดือนกรกฎาคม-พฤศจิกายน
ซึ่งเป็นช่วงที่มีปริมาณน้ำหลาก ล้นแก่ง และไหลลดหลั่นเป็นชั้นๆ
เหมาะสำหรับการล่องแก่งได้อย่างสนุกสนาน แต่วันนี้
พวกเราไม่ได้มาที่นี่ เพื่อล่องแก่ง พวกเรามาตามหาน้ำ
พวกเราตามหากันมาตั้ง แต่เช้าจนตัวจะแห้งตายกันอยู่แล้ว..เจ้าหน้าที่ยังบอกอีกว่า
ที่นี่มีน้ำตลอดทั้งปีแม้ว่าช่วงนี้จะเป็นช่วงที่น้ำน้อยที่สุดของปี
แต่ก็ยังมีน้ำใสๆ ไหลให้เห็นอยู่พอสมควร
และยังแนะนำอีกว่า หากต้องการความเป็นส่วนตัวให้ไปที่แก่งงูเห่า
ใต้ต้นมะขาม ...โอ้ววว ว้าวววว...!!!
ดูดวงตาของคนบ้าทั้ง 3 คนนี้สิ
ขณะนี้ดวงตาของพวกเขาเป็นประกายระยิบระยับไปหมด ต้นมะขาม !..ต้นมะขาม!
..นณณ์รีบขับรถมุ่งตรงไปยังต้นมะขามด้วยความตื่นเต้นทันที ..
ย๊ะฮู๊ววววววว !!! เจอน้ำแล้วเว๊ยยยย ฮ่าๆ ๆ
นณณ์ตะโกนร้องลั่นอย่างสะใจ หลังจากที่จอดรถ
และรีบกระโดดลงรถออกไปดูก่อนใครพร้อมทั้งรีบแบกเป้ใส่อุปกรณ์ดำน้ำ
กล้องถ่ายรูป
และเสื้อผ้าล่วงหน้าลงไปก่อนอย่างรวดเร็วเหมือนคนที่กำลังจะขาดน้ำจนใกล้ตายแล้วได้มาเจอแหล่งน้ำที่อยู่ท่ามกลางทะเลทรายก็ไม่ปาน...กั่กๆ ๆ ...ว่า
ไปนั่น! โดยทิ้งกุญแจรถไว้เบื้องหลัง..
กว่าผมกับน้องแนนจะลงไปถึงนณณ์ก็ลงไปดำน้ำดูปลาอยู่ในน้ำเรียบร้อยแล้ว
เห็นเพียงแค่ปลาย snorkel สีสะท้อนแสง
เท่านั้น ที่โผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมา..
แก่งหินเพิง มีต้นกำเนิดจากยอดเขาใหญ่
เริ่มจากน้ำตกวังเหวไหลลงมาถึงแก่งหินเพิง ระยะทางประมาณ 80
กิโลเมตร ซึ่งถือเป็นเป็นต้นกำเนิดแม่น้ำบางปะกง
เป็นแก่งหินตอนปลายสุดของแม่น้ำใสใหญ่ซึ่งมีลักษณะทางธรณีวิทยาเป็นชั้นหินทราย
ครั้นเมื่อถึงฤดูฝนกระแสน้ำจะไหลหลากอย่างรุนแรงจน ทำให้เกิดเกาะแก่งต่าง
ๆ
มากมาย
ส่วนแก่งงูเห่า ที่พวกเราลงไปดำน้ำสำรวจกันวันนี้
หากอยู่ในช่วงฤดูฝนกระแสน้ำจะไหลท่วมเกาะแก่งต่าง ๆ
จน ทำให้แก่งแห่งนี้มีลักษณะคล้ายกับฝายกั้นน้ำ
แต่วันนี้ที่นี่
มีปริมาณน้ำไม่มากนัก ทำให้แลเห็นเกาะแก่งต่าง ๆ
โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำพอสมควร
อีกทั้งยังไม่เป็นส่วนตัวซักทีเดียวนัก เพราะยังมีนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งเล่นน้ำอยู่ก่อนแล้ว..
เฮ๊ยกุ๋ย ..ปลาเยอะดี มีหลายชนิดเลย นณณ์โผล่หัวขึ้นมาพูดเหมือนจะชักชวนให้ผมตามลงไปดำน้ำดูบ้าง
แล้วก็มุดหัวหายลงใต้น้ำดูปลาต่อไป แต่วันนี้ผมไม่ได้นำเสื้อผ้ามาเปลี่ยนอ่ะดิ..
แล้วก็ยังลืมนำ snorkel คู่ชีพมาอีกด้วย
มีเพียงแว่นตาว่ายน้ำของน้องแนนเท่านั้น อ้าววว !!!
แล้วจะทำไงดีล่ะทีนี้ ...อยากก็อยาก
แต่ก็ไม่มีเสื้อผ้ามาเปลี่ยน...ทำไงดี? ทำไงดี?...หรือว่า...ปิ๊ง!!!
ในที่สุดผมก็ทนเสียงเรียกร้องในใจไม่ไหวจึงตัดสินใจแก้ผ้าใส่กางเกงในตัวเดียวลงไปดำน้ำดูปลาจนได้
ขณะนี้ความอายของผมมีน้อยกว่าความอยากที่จะดำน้ำดูปลาหลายเท่านัก
แต่น้องแนนสิ อายแทนผมจนหน้าแดงเลย หุ ๆ ๆ
วันนี้น้ำที่นี่ไม่ใสมากนัก
สีออกเหลืองๆ หน่อย แต่ก็เพียงพอที่จะมองเห็นโลกใต้น้ำได้อย่างชัดเจน
ผมดำน้ำแยกออกจากนณณ์ที่กำลังพยายามถ่ายภาพใต้น้ำไปคนละทาง
การดำน้ำสำรวจดูปลาครั้งนี้ผมรู้สึกค่อนข้างเหนื่อย เพราะต้องคอยโผล่ขึ้นมาฮุบอา
กาศ เพื่อหายใจ ยิ่งเวลาเจอภาพปลาสวยๆ ก็มักจะหมดลมหายใจที่กลั้นไว้จำต้องตัดใจโผล่ขึ้นผิวน้ำทุกทีอย่างน่าเสียดาย..
โอ้ว...ว๊าววววว....ฝูงปลาสร้อยบัว (Lobocheilus rhabdoura)
หลายสิบตัวกำลังรุมกินตะไคร่น้ำบนก้อนหินข้างหน้าผม
อย่างไม่สนใจผมเลยช่างเป็นภาพที่สวยงามน่าประทับใจอย่างมากเกินกว่าจะอธิบายให้คนที่ไม่เคยเห็นเข้าใจได้
อ้าว! นี่มัน ต้นสันตวาใบข้าว (Blyxa sp.)
นี่นา กำลังโบกสะบัดพัดปลิวไสว ส่ายไปมาเบาๆ
ช่างเป็นไม้น้ำที่สง่างามยิ่งนัก ที่แก่งน้ำแรงนั่นแน่ จ๊ะเอ๋.. เจ้าปลาเลียหิน
(Garra sp. taeniata) มาแอบอะไรอยู่ในซอกหินตรงนี้จ๊ะ
อื้อฮือ!! เจ้าลูกปลากระสูบขีด (Hampala
macrolepidata) สองตัวนี้ สีสวยจัง..เอ๊ะ..ใครมาทิ้งกระป๋องเบียร์ลงน้ำแบบนี้ฟะ
น่าเกลียดที่สุด ในขณะที่ผมกำลังจะเอื้อมมือไปหยิบกระป๋องเก็บไปทิ้งในถังขยะบนฝั่ง
ปรากฏว่าเจ้าปลากะทิงลาย (Mastacembelus
favus) ก็โผล่หัวออกมาทักทายยักคิ้วให้ผมทีนึงแล้วก็ไม่สนใจผมอีกเลยผมเฝ้าดูอยู่นานด้วยความเอ็นดูในความน่ารักของมันบวกกับความน่าสงสารที่มันต้องมาอาศัยอยู่ในขยะแบบนี้
จนทนไม่ได้ต้องไปตาม นณณ์ให้มาถ่ายรูปเก็บไว้
ก่อนจะขึ้นมานั่งพักเหนื่อยบนเกาะก้อนหินกลางน้ำจนหายเหนื่อยแล้วก็มุดลงน้ำต่อ..
..วู๊วว ๆ ๆ ๆ ญาติปลาเล็บมือนาง
(Crossocheilus reticulatus)
กำลังแทะกินตะไคร่น้ำบนก้อนหินอย่างเอร็ดอร่อยในระยะประชิดกับผมโดยที่มันไม่รู้ตัว
ผมไม่เคยเข้าใกล้มันได้ขนาดนี้มาก่อนเลย เหลือบตาขึ้นมาที่กลางน้ำ
ก็เห็นปลาน้ำหมึก (Barilius koratensis) 2 ตัวว่ายเคียงคู่กันอยู่
ผมส่งเสียงอู้อี้ๆ
ในคอด้วยความตื่นเต้นอยู่ใต้น้ำสลับกับการโผล่ขึ้นมาหายใจที่ผิวน้ำอยู่ได้ไม่นาน
ก็ต้องโผล่ขึ้นมานั่งพัก ดูปลาเข็มที่ลอยตัวนิ่งคู่กันอยู่บนผิวน้ำริมตลิ่ง
ในขณะที่น้องแนนชี้ชวนให้ผมดูลูกปลาจาด (Poropuntius
sp.) และ ลูกปลาตะเพียนน้ำตก
(Puntins aurotaeniatus)
ตัวสีเงินๆ ที่ว่ายกันอยู่ในแอ่งหินใกล้ๆ
เฮ๊ยๆ ๆ ..กุ๋ยๆ ..ปลามีนอ....มาช่วยจับหินไว้หน่อยเร็ว..จะถ่ายรูป
นณณ์โผล่หัวขึ้นมาเรียกผม
หลังจากที่พยายามถ่ายรูปคนเดียว แต่ไม่สำเร็จผมรีบตามไปช่วยสมทบทันที..
ได้มั๊ย ถ่ายรูปได้มั๊ย? ผมลุ้นด้วยความตื่นเต้น เพราะอยากเห็นปลาตัวนี้บ้าง
แต่สุดท้ายเจ้าปลาตัวนี้ก็อาศัยช่วงชุลมุนหลบนี้ไปได้
เหลือเพียงภาพมืดๆ ทิ้งไว้ให้เห็นในกล้องของนณณ์
มันเป็นปลาเลียหิน (Garra
sp.) ชนิดหนึ่งแน่ๆ
แต่เราไม่รู้ว่าเป็นชนิดไหน รวมถึงปลาหลดภูเขา (Macrognathus circumcinctus)
ด้วยที่ในภาพมีให้เห็นชัดเพียงแค่หางเท่านั้นในขณะที่ส่วนหัวจะโผล่ออกมาให้เห็นนิดหน่อยในรกไม้
เป็นการเลี้ยงตัวอยู่ในน้ำที่ไหลแรงโดยการขัดตัวเองไว้กับรกไม้อย่างฉลาดของปลาชนิดนี้
อ่ะ ลองดูบ้างมั๊ย? นณณ์ยื่นกล้องให้ผมลองถ่ายรูปใต้น้ำดูบ้าง
เป็นครั้งแรกที่ผมได้ลองพยายามใช้งานมันใต้น้ำซึ่งก็ ทำให้เข้าใจ แล้วว่าในการถ่ายภาพใต้น้ำนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยยากมากกว่าการถ่ายภาพบนบกหลายเท่า(ซึ่งการถ่ายภาพบนบกนี่ก็ยากแล้วสำหรับผม)
ทั้งกระแสน้ำ แสง ความขุ่นของน้ำ
และที่สำคัญก็เจ้าปลานายแบบนางแบบพวกนี้แหล่ะที่ว่ายไปมา
ไม่ยอมให้ถ่ายได้ง่ายๆ ...ผมพยายามจะถ่ายรูปปลาหมอช้างเหยียบ
(Pristolepis fasciatus)
คู่หนึ่งที่กำลังว่ายหากินอยู่ที่พื้นทราย
แต่กล้องก็หาตัวปลาไม่เจอบ้าง แสงไม่พอบ้าง จับโฟกัสไม่ได้บ้าง พอใกล้จะได้โฟกัส
ปลาอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม
ผมก็หมดลมซะก่อนต้องโผล่ขึ้นไปหายใจซะก่อนที่จะขาดใจตาย...เฮ้อออ...!!
ไม่สำเร็จ ผมพยายามใหม่อีกครั้ง แต่ปลาหมอก็หายไปแล้ว เอ...หายไปไหนหว่า?
ขณะกำลังมองหาอยู่นั้น ฝูงปลาเสือข้างลาย (Puntius
partipentozona ) ประมาณ 3-4 ตัว
ก็ว่ายผ่านหน้าไปอย่างช้าๆ
ผมมัว แต่ตะลึงในความน่ารักสดใสของมันจนลืมถ่ายรูป.. แต่ในที่สุดก็ยอมแพ้เอากล้องไปคืนนณณ์ที่กำลังกวักมือเรียกให้ไปดูลูกปลากระสูบหางสีแดงเข้มที่อยู่อีกฟากนึงของแก่ง..นณณ์ยังถ่ายภาพโน่นถ่ายภาพนี่อยู่อีกสักพัก
ในขณะที่ผมใส่เสื้อผ้าแล้ว..
สักพักเราก็เดินเท้าไปยังแก่งวังไทร ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
ที่แก่งนี้จะมีนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่มาเล่นน้ำกันเราเห็นว่าไม่มีอะไรน่าสนใจนอกจากก้อนหินเล็กใหญ่ที่โผล่พ้นน้ำกระจัดกระจายเต็มไปหมด
และเสียงตีเกราะเคาะไม้ตามประสาคนเมาอย่างสนุกสนานส่วนแก่งหินเพิงนั่นต้องเดินเท้าไปอีกเป็นกิโล..พวกเรามองหน้ากันแล้วก็พยักหน้าหงึ่กๆ กลับกันเห่อะ!
เราออกมาจากบริเวณแก่งหินเพิงด้วยความหิวโหยจนต้องแวะซื้อไก่ย่างกินประทังชีวิตไปก่อน และระหว่างทางกลับก็แวะซื้อข้าวโพดแปดแถวอันเป็นเอกลักษณ์ขึ้นชื่อของที่นี่กลับมาด้วย
แปลกดี อิ่มด้วย ผมเองก็ซัดไปบนรถหลายฝัก ..อิๆ
แม้วันนี้เราจะผิดหวังติดต่อกันหลายครั้ง
แต่สุดท้ายก็จบลงด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข
แอ๊งอิ้วหลายๆ เด้อ...แก่งหินเพิง..!!ที่ ทำให้วันนี้พวกเราได้กินข้าวโพดแปดแถวกับไก่ย่างแทน"แห้ว"(นึกว่าวันนี้จะได้กินแห้วซะแล๊นนนน)....ย๊ะฮู๊ววววว!!!!
^_^
more survey ...