บันทึกการเดินทาง น้ำตกเขาสามหลั่น
อุทยานแห่งชาติ พระพุทธฉาย จังหวัดสระบุรี
31 ต.ค 2547
เรื่อง และภาพ: พล, นณณ์
นณณ์ฝากผมให้เขียนเรื่องนี้อ้างว่าตัวเองกำลังเขียนเรื่องปลาหมอแคระอยู่ และใกล้ปิดต้นฉบับเต็มทนแล้ว
ระหว่างเดินทางกลับจากน้ำตกเขาสามหลั่น จังหวัดสระบุรี
เป็นการเดินทางสั้นๆ ที่นณณ์ และผมใช้เวลาครึ่งวันในการไปถ่ายรูปที่นั่น
นณณ์ไปถ่ายรูปปูน้ำตก เพื่อเติมเต็มบทความเกี่ยวกับสัตว์ประจำถิ่นของสระบุรี
โครงการใหญ่ระยะยาวของเจ้าตัว ส่วนผมก็ติดสอยห้อยตามไปตามประสาลูกทัวร์
เริ่มเรื่อง
ข้อมูลจากแผ่นพับของทางอุทยานฯ อุทยานแห่งขาติพระพุทธฉายมีพื้นที่อยู่ในเขต
อ.หนองแค อ.วิหารแดง อ.แก่งคอย และ อ.เมือง จังหวัดสระบุรี
เป็นเขตป่าอนุรักษ์ที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ มากที่สุด
ครอบคลุมพื้นที่ภูเขาซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองสระบุรีเพียงแค่ 10 กิโลเมตร
มีเขาครกเป็นยอดสูงสุด สูง 329 เมตรจากระดับน้ำทะเล มีสถานที่ท่องเที่ยว ได้แก่
น้ำตกสามหลั่น น้ำตกโพธิ์หินดาด และ น้ำตกโตนรากไทร
นอกจากนี้ยังมีแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ที่น่าสนใจ เช่น น้ำตกเขาแดง น้ำตกนางโจน
อ่างเก็บน้ำเข้าสามหลั่น อ่างเก็บน้ำเขารวก อ่างเก็บน้ำซับปลากั้ง เป็นต้น
เราออกเดินทางจากกรุงเทพฯประมาณเจ็ดโมงเช้า ไปยังจังหวัดสระบุรี ตามถนนพหลโยธิน
ก่อนถึงจังหวัดสระบุรีประมาณ 3 กิโลเมตร ตรงหลักกิโลเมตรที่ 104
จะถึงทางแยกขวามือเข้าสู่พระพุทธฉาย ถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติ ระยะทางประมาณ 9
กิโลเมตร
หรือจะเดินทางโดยรถประจำทางไปยังจังหวัดสระบุรีแล้วเหมารถรับจ้างไปยังอุทยานแห่งชาติพระพุธทฉายก็สะดวกเช่นกัน
ที่นี่มีจุดกางเต็นท์ พร้อมมีเต็นท์ และเครื่องนอนไว้บริการ
นอกจากนั้นยังมีเรือปั่น และเรือคายัค
ไว้บริการที่บริเวณอ่างเก็บน้ำก่อนถึงที่ทำการอุทยานฯด้วย
จุดหมาย
เรามาถึงอุทยานฯตอนแปดโมงเช้า ธงชาติกำลังชักขึ้นเสาอยู่พอดิบพอดี ณ
ลานกางเตนท์หน้าที่ทำการอุทยานฯ
แสงแดดยามเช้ากำลังสวยส่องผ่านเรือนยอดของต้นไม้ลงมาเป็นลำ
ชวนให้กดชัตเตอร์กันคนละรูปสองรูป
ก่อนที่จะเริ่มเดินเท้าเข้าไปที่น้ำตกเขาสามหลั่น
ระหว่างทางเราได้ยินเสียงคล้ายใครกำลังเคาะไม้ดังกังวานไปทั่วป่า นกหัวขวานนั่นเอง
เราพยายามมองตามยอดไม้ เพื่อหาที่มาของเสียง และหวังว่าจะได้รูปซักใบ
แต่ในที่สุดก็ได้ แต่เห็นหลังสีเหลืองของมันไวๆ หายเข้าไปในป่า สุดปัญญาจะถ่ายได้
แต่การตามหานกหัวขวานก็ไม่ถือว่าเสียเปล่า เพราะเราได้รูปใยแมงมุงที่สะท้อนแสงแดดอ่อนๆ ยามเช้า
พร้อมทั้งตัวแมงมุมหน้าตาประหลาดมาแทน
ปูที่น้ำตกเขาสามหลั่น
เราใช้เวลาเดินทอดน่องไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็มาถึงส่วนของน้ำตก ช่วงนี้น้ำเริ่มน้อย
นณณ์ถึงกับตั้งชื่อใหม่ให้ว่าน้ำตกสามแหมะ
แต่ก็โชคดีที่เราเจอปูน้ำตกได้ไม่ยากนัก
นณณ์บอกว่ามันเป็นชนิดที่พบเฉพาะน้ำตกในเขตจังหวัดสระบุรีเท่านั้น
ดูมันคล้ายจะออกมาต้อนรับนักท่องเที่ยว เพราะเจออาศัยอยู่ตามซอกหิน และแอ่งน้ำทั่วไป
แต่จะมีซักกี่คนที่มองเห็น และสนใจ
เพราะหน้าตามันก็คงไม่ต่างจากปูดองในส้มตำซักเท่าไหร่
เราหยุด เพื่อถ่ายรูปกันที่นี่นานทีเดียว ผมถ่ายนู่นถ่ายนี่ไปเรื่อย
ในขณะที่นณณ์ก้มๆ เงยๆ อยู่แถวน้ำตก สักพักก็ปีนหินขึ้นไปโผล่อยู่ด้านบน
แล้วก็เดินวนกลับลงมาอีก
แล้วก็ลงไปนั่งๆ นอนๆ ถ่ายอะไรสักอย่างอยู่ที่ขอนไม้ล้มริมน้ำตก
พอผมเดินไปดูเจ้าตัวก็ยิ้มฟันขาวบอกให้ผมดู ๓
ผู้ย่อยสลายในธรรมชาติร่วมกันทำงานบนไม้ขอนนั้น
พร้อมทั้งชี้ให้ผมดูฝอยขาวๆ ของเชื้อรา รอยทางเดินของปลวก และ
เห็ดก้อนกลมๆ ที่ขึ้นอยู่ สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ อาจจะดูเล็กน้อย
ไม่สำคัญเหมือนกับเหล่าสัตว์ใหญ่ หรือ แม้ แต่นกเล็กๆ ที่สวยงาม
แต่พวกเขาก็มีความสำคัญในวัฎจักรธรรมชาติไม่แพ้กัน ถ้าไม่มีผู้ย่อยสลายในธรรมชาติ
ในโลกนี้ก็คงเต็มไปด้วยขยะ
ออกเดินทางต่อ
เราเริ่มออกเดินทางออกจากบริเวณน้ำตกหลังจากที่เด็กๆ สี่ห้าคนมาพร้อมกับเสียงเจี๊ยวจ้าวตามประสาเด็กที่ตื่นเต้นกับธรรมชาติ
เราเดินลึกเข้าไปในป่าซึ่งต้นไม้บางต้นกำลังเริ่มผลัดใบ เพื่อรับหน้าหนาวที่กำลังจะมาเยือน
เรามีจุดหมาย คืออ่างเก็บน้ำซึ่งไกลจากน้ำตกไปไม่กี่ร้อยเมตรโดยหวังว่าน่าจะเจออะไรให้ถ่ายรูปได้บ้าง
ระหว่างทางมีลำธารเล็กๆ เราเห็นปลาเล็กๆ ว่ายน้ำอยู่กันเป็นฝูง
นณณ์บอกว่าเป็นพวกปลาซิวใบไผ่เล็ก และปลาที่เหมือนปลาช่อนนั่น คือปลาก้าง
ซึ่งเป็นปลาในตระกูลปลาช่อนขนาดเล็กที่อาศัยอยู่ตามแหล่งน้ำไหล
นอกจากนั้นก็มีกิ้งกือขนาดใหญ่ที่เห็นอยู่ทั่วไป มีตัวหนึ่งโดนปูลากลงน้ำไปกินด้วย
เสียงนกร้องดังระงมไปทั่วป่า เสียงที่ดังสุดคงจะเป็นเสียง เจ๊กโกหกๆ ๆ ๆ ๆ
ของนกกระรางหัวหงอก แต่จนรอดจนรอดด้วยความไร้ฝีมือ และดวงในการดูนก
เราก็หาตัวพวกมันไม่เจอ นอกจากนั้นก็ยังมี
แมลงหน้าตาแปลกๆ ที่บางตัวสวยอย่างไม่น่าเชื่อ
แล้วก็มีพวกผีเสื้อหลายต่อหลายชนิดซึ่งดูเหมือนว่าวันนี้จะอารมณ์ดีกันเป็นพิเศษพากันบินล่อนไปมา
ไม่ลงจอดให้ได้ถ่ายรูปกันบ้างเลย และ
นอกจากนั้นก็ยังมีดอกไม้ป่าดอกเล็กดอกน้อยให้เราแวะถ่ายภาพกันไปตลอดทาง
ที่อ่างเก็บน้ำเขาสามหลั่น
ริมอ่างเก็บน้ำค่อนข้างรกเต็มไปด้วยต้นไม้ หนาม
และพื้นที่เป็นโขดหินมาถมเป็นเขื่อน ทำให้การเดินเข้ามาค่อนข้างลำบากพอสมควร
นักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งที่เดินตามเรามาพอเห็นก็แทบจะหันหลังกลับในทันที แต่เรา ๒
คนก็ฝ่าเข้ามาจนถึงขอบอ่างเก็บน้ำ และเจอนกเป็ดผีเล็ก และนกกาน้ำอยู่ไกลลิบๆ
ในน้ำมีปลาเล็กๆ ขึ้นเล่นน้ำกัน ดูแล้วคงจะเป็นพวกปลากระดี่หม้อ
แล้วนณณ์ก็ได้คำตอบเสียทีว่าปีที่แล้วทำไมถึงเจอปลากระดี่หม้อติดค้างอยู่ตามแอ่งน้ำในน้ำตก
เพราะปลากระดี่เป็นปลาน้ำนิ่งไม่น่าจะมาโผล่ในน้ำตกได้
อ่างเก็บน้ำแห่งนี้ล้อมรอบไปด้วยภูเขาที่เขียวชะอุ่ม
เมื่อผสมกับอากาศเย็นยามเช้าต้นฤดูหนาวเช่นนี้ ทำให้ผมอารมณ์ดีได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ส่วนเจ้านณณ์นั้นแทนที่จะชื่นชมความงามกับบ่นพึมพัมว่าอุทยานแห่งชาติเดี๋ยวนี้ไม่รู้เป็นอะไรกัน
ชอบกั้นแม่น้ำลำธารสร้างเป็นอ่างเป็นเขื่อน ทำลายที่อยู่ทางธรรมชาติของปลาต้นน้ำ
และตัดขาดการกระจายพันธุ์ของพวกมันเป็นช่วงๆ จนบางกลุ่มผสมพันธุ์กันเลือดชิดจนตัวคดตัวงอหมดแล้ว
อนาคตปูที่นี่น่าห่วงจริงๆ
เพราะถูกดักไว้ด้วยบ่อน้ำทั้งด้านล่างด้านบนจนมีประชากรติดอยู่ตรงกลางเพียงไม่กี่ตัว....
ระหว่างที่เจ้าตัวบ่นให้ผมฟังไปเรื่อย
ผมก็หาทางเข้าใกล้นกกาน้ำให้มากกว่านี้ เพื่อถ่ายรูป
แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นตัวอะไรซักอย่างกำลังว่ายแหวกผิวน้ำตรงแหนวมาที่เรา
มองจากทิศทางแล้วมันคงกะจะมาขึ้นฝั่งตรงที่เรายืนอยู่แน่นอน
ระยะทาง: ไกลลิบๆ
นณณ์: ตัวอะไรว่ะนั่น? เป็ดผี?
ผม: ?
เจ้าตัวนั้น: ว่ายตรงเข้ามาเรื่อยๆ
ระยะทาง: เริ่มใกล้เข้ามา
นณณ์: หันมาบอกผมว่า งู ว่ะ แล้วรีบคว้ากล้อง
ผม: อ้อ
งู แล้วก็รีบคว้ากล้องส่องทางไกลมาดู (ลืมไปว่าเอามาด้วย)
งู: ก็ยังคงว่ายตรงมาเรื่อยๆ ตรงเด่เลย
ระยะทาง: ใกล้แล้วนะ
ผม: งูมันยังมองไม่เห็นเราเหรอว่ะนั่น สงสัยสายตามันคงไม่ดี ผมหันไปถามนณณ์
งูอะไรวะ?
นณณ์: งูเห่ามั๊ง มองไม่ชัดหว่ะ นณณ์ตอบไปพร้อมกับกดชัตเตอร์ไม่หยุด
ผม : โดนกัดก็ตายดิ
แล้วผมก็เริ่มมองไปด้านหลัง สำรวจเส้นทางก่อนวิ่ง
งู : ตรงเข้ามาเรื่อยๆ
นณณ์: เอ...ไม่หรอกมั๊ง งูสิงมากกว่า ตาโตๆ ไม่มีพิษๆ
ผม: นณณ์พูดให้กำลังใจ แต่ผมก็ยังสำรวจทางหนีทีไล่อยู่
งู: เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ (เห็นเราซะทีสิ หลับหูหลับตาว่ายมาอยู่ได้)
โชคดีครับที่งูมองเห็นเราก่อนที่จะถึงฝั่งประมาณห้าเมตร มันหยุดชะงัก
แลบลิ้นแพล่บๆ เพื่อตรวจกลิ่น
แล้วก็รีบเปลี่ยนเส้นทางว่ายเฉียงไปขึ้นฝั่งห่างจากจุดที่เรายืนไปไม่กี่เมตร
เล่นเอาผมระแวงไปตลอดทางเดินที่ออกมาจากอ่างเก็บน้ำ
ขากลับระหว่างที่เรากำลังมุดๆ กันออกมาจากดงไม้
ผม : ไอ้ขนๆ นี่มันลูกอะไรว่ะ? ผมถามนณณ์
หลังจากมุดผ่านกอไม้เรื่อยมาได้อย่างปลอดภัย
นณณ์: เฮ้ย หมามุ่ย ทำไมไม่รีบบอกว่ะ นณณ์ซึ่งกำลังมุดอยู่โวยวาย
ผม: อ้าว ไม่รู้....
นณณ์ : โดนเข้าไปแล้วแน่ๆ เลย คันคอยิบเลยหว่ะ
ระหว่างทางกลับ เราพบจิ้งเหลนต้นไม้สีสวยหากินอยู่บนต้นไม้ใหญ่
จิ้งเหลนขนาดเล็กชนิดนี้มีพฤติกรรมตามชื่อของมัน คือ
หากินอยู่บนต้นไม้ใหญ่ๆ ไม่ได้หากินตามพื้นเหมือนจิ้งเหลนบ้านที่เราคุ้นเคย
พูดถึงจิ้งเหลนบ้าน เดี๋ยวนี้แถวบ้านผมที่ลาดพร้าว ไม่ค่อยมีให้เห็นแล้วครับ
ไม่รู้ว่าหายไปไหนกันหมด ย้อนกลับมาดูเจ้าจิ้งเหลนต้นไม้ดีกว่า
หางสีส้มของมันกวัดแกว่งไปมาเหมือนกับไส้เดือนไม่มีผิด
ผม: มันจะแกว่งหางไปทำไมนั่น? เหมือนกับไส้เดือนเลย
นณณ์: เออจริงหว่ะ ไม่เคยได้ดูเจ้านี่ถนัดๆ สักที สงสัยแกว่งหางล่อเหยื่อกระมัง
ผม: ถ้าผู้ล่าใหญ่ขนาดจะมากินหางมันได้ แล้วมันจะกินแค่หางเหรอวะ? มากินมันทั้งตัวล่ะสิไม่ว่า
นณณ์ : เออแหะ สงสัยเป็นแบบ เอาหางล่อไง ตัวอะไรจะมากินมันก็ตะปบหางไปกินก่อน
ตรงตัวก็รอดไปงอกหางใหม่ไว้ให้สัตว์ผู้ล่ากินต่อ
ผม: โห เอาตัวรอด
ของแท้เลยนี่หว่า
แล้วเราก็เลยจัดการถ่ายรูปกันอีกชุดใหญ่
แต่จิ้งเหลนน้อยไม่ค่อยให้ความร่วมมือกลับปีนหนีขึ้นต้นไม้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ
ขากลับเรายังแวะเที่ยวกันที่ที่ทำการอุทยานอีกเล็กน้อย
ที่นี้มีนิทรรศการเล็กๆ ให้เราได้ชมกัน ทั้งภาพถ่าย และผีเสื้อ
รวมไปถึงบอร์ดให้ความรู้ต่างๆ ก็มีมากพอสมควรทีเดียว
เราออกมาจากอุทยานฯ และเดินทางกลับกรุงเทพฯตอนใกล้ๆ เที่ยง
และถึงกรุงเทพฯได้ก่อนที่จะหิวจนเกินไป
รวมเวลาเดินทางแค่ชั่วโมงนิดๆ เท่านั้นเอง
คงไม่มีธรรมชาติที่สมบูรณ์ใกล้ๆ กรุงเทพฯแบบนี้อีกแล้วกระมัง?
ร่วมแสดงความคิดเห็นที่กระทู้
ติดต่อกับอุทยานฯ
อุทยานแห่งชาติพระพุทธฉาย
ตู้ ปณ.10 ต.หนองปลาไหล
อ.เมือง จ.สระบุรี 18000
โทร 0-3622-5171-2
|
|
ตั๊กแตนตำข้าวทำความสะอาดหนวด |
|
|