ขอความรู้เรื่อง"น้ำเบียด"ค่ะ
เขียนโดย sparrow Authenticated user เมื่อ 27 ตุลาคม 2554
พอดีได้รับมอบหมายให้หาข้อมูลสาเหตุตามที่มีข่าวว่ามีปลาทะเลลอยตายเกลื่อนชายหาดที่เรียกว่าปรากฏการณ์"น้ำเบียด"ค่ะ เลยอยากขอความรู้จากท่านพี่ๆเรื่องปรากฏการณ์"ดังกล่าวค่ะว่าสาเหตุเกิดจากอะไร ถ้าจะอธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์แบบง่ายๆจะอธิบายได้ว่าอย่างไรคะ ขอบคุณค่ะ http://www.pantip.com/cafe/news/topic/NE11199721/NE11199721.html
Comments
ความเห็นที่ 1
http://sirikhun.com/Knowledge/Enviroment/8-%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%94-%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99
ความเห็นที่ 1.1
ไม่เข้าใจ สงสัยอะไรหายไป อธิบายทีท่าน
ความเห็นที่ 1.2
ขอบคุณจ้าน้องa_a
ความเห็นที่ 2
ความเห็นที่ 2.1
ขอบคุณค่ะคุณตุ้ม
ความเห็นที่ 3
ถ้าหากเกิดในสภาพที่มีน้ำมวลน้ำจืดปริมาณมาก นั่นคือชั้นน้ำจืดจะหนามาก ซึ่งหากเกิดในวันที่ลมสงบ คลื่นไม่แรง การผสมของชั้นน้ำทั้งสองจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยทั่วไปแล้วชั้นน้ำจืดที่หลากมาในช่วงฤดูฝน มักจะดินตะกอนละลายอยู่เป็นจำนวนมากซึ่งเราจะเห็นมันเป็นสีออกแดงอิฐ ตะกอนนี้จะเป็นตัวไปบดบังแสงทำให้แสงส่องลงไปถึงชั้นน้ำเค็มได้น้อยลง หรือไม่ถึงเลย ดังนั้นที่พื้นท้องทะเลของชั้นน้ำเค็มก็จะมืดมิด
ในสภาพปกติชั้นของน้ำเค็มจะเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแพลงก์ตอนพืช แพลงก์ตอนสัตว์ สัตว์น้ำจำพวกต่าง ๆ กุ้งหอย ปู และปลาเป็นต้น รวมไปถึงแบคทีเรียชนิดต่าง ๆ จากภาพที่เราเห็นในลิงค์ สัตว์น้ำที่ตายส่วนมากจะเป็นสัตว์ที่อยู่อาศัยอยู่ในบริเวณพื้นท้องน้ำมากกว่า สัตว์ที่อยู่ผิวหน้าน้ำ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
ทั่วไปแล้วในแหล่งน้ำทุกชนิด ช่วงกลางวันซึ่งเป็นช่วงที่มีแสงแดด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งในการสังเคราะห์แสงของแพลงก์ตอนพืช โดยการสังเคราะห์แสงนี้จะเป็นการเปลี่ยนคาร์บอนได้ออกไซด์ที่อยู่ในน้ำให้เป็นน้ำตาล และได้ออกซิเจนเป็นผลพลอยได้ออกมาซึ่งคล้ายกันกับหน้าที่ของพืชบนบก ในขณะที่เวลากลางคืนที่ไม่มีแสดง กระบวนการสังเกคราะห์แสงจะหยัด ไม่มีการผลิตออกซิเจน แต่แพลงก์ตอนพืชและสัตว์น้ำต่าง ๆยังคงต้องใช้ออกซิเจนเพื่อการหายใน โดยปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา และระดับคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้นนี้จะถูกกำจัดออกไปด้วยกระบวนการสังเคราะห์แสงที่เกิดขึ้นในวันถัดไป ออกซิเจนในน้ำยังได้มาเรื่อยๆ จากการละลายจากผิวหน้าที่มีคลื่นและลมช่วยทำให้มันผสมลงมายังมวลน้ำชั้นล่าง
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า การผสมกันชั้นน้ำทั้งสองในช่วงที่มีน้ำหลากมากจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป (การแบ่งชั้นจึงคงระยะเวลาอยู่ยาวนาน) ประกอบกับตะกอนที่ละลายอยู่ในชั้นน้ำจืดมีส่วนบดบังแสงไม่ให้ส่องลงไปในชั้นน้ำเค็มได้ไม่มาก ทำให้ชั้นน้ำเค็มเกิดสภาพที่เป็นเวลากลางคืนอย่างยาวนาน ซึ่งในที่สุดแล้วออกซิเจนจะค่อยๆ ด้วยกระบวนการหายใจของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในขณะที่คาร์บอนได้ออกไซด์เกิดสะสมมากขึ้น การแบ่งชั้นทำให้ผิวหน้าของน้ำเค็มไม่ถูกกับอากาศโดยตรง การแพร่ของออกซิเจนจากผิวหน้าน้ำจึงมีปริมาณไม่มากตามไปด้วย ในที่สุดแล้ว บริเวณพื้นท้องน้ำจะมีออกซิเจนลดต่ำลงจนเกินกว่าที่พวกสัตว์น้ำจะมีชีวิตอยู่ได้ สัตว์จำเป็นต้องดิ้นรนไปหาจุดทีมีออกซิเจนมากกว่า ซึ่งโดยสัญชาตญาณแล้ว มันก็คือผิวหน้าน้ำ แต่การขึ้นสู่ผิวหน้าน้ำนั้น มีอันตรายที่ปลาพวกนี่นึกไม่ถึง
ในสภาพปกติสัตว์ที่อยู่ในน้ำจืดและน้ำเค็มจะมีสิ่งที่ระบบรักษาสมดุลย์เกลือแร่ที่แตกต่างกัน เราเรียกสิ่งนี้ว่าระบบออสโมซิส ซึ่งขออธิบายง่าย ๆ โดยยกตัวอย่างปลากระดูกแข็ง ในน้ำจืดปลาจะมีความเข้มข้นของเลือดมากกว่าสิ่งแวดล้อม ตามหลักการของออสโมซิส น้ำจะซึุ่มเข้าร่างกายปลา ดังนั้นปลาจึงจำเป็นต้องกำจัดน้ำส่วนเกินออกไปพร้อมๆ กับการเก็บรักษาเกลือไว้ในร่างกายให้มากทีสุด ตรงกันข้ามกับในน้ำเค็ม ที่สภาพแวดล้อมจะมีความเข้มข้นมากกว่าของเหลวในตัวปลา ดังนั้นแทนที่จะกำจัดน้ำปลาต้องรักษาน้ำให้มากทีสุดพร้อมๆ กับการขับเกลือออกให้มากที่สุด มีปลาบางพวกกลุ่มทีี่มีความสามารถพิเศษสามารถอาศํยอยู่ได้ทั้งในสภาพน้ำจืดและน้ำเค็ม ถึงตอนนี้คงไม่ต้องแล้วครับว่า อันตรายของกลุ่มปลาหน้าดินพบเมื่อมันว่ายขึ้นมาอยู่ในชั้นน้ำจืดคือ การที่ระบบออสโมซิสของมันทำงานไม่ได้ สงผลให้ปลาช๊อคน้ำ และว่ายน้ำไร้ทิศทางถูกจับได้ง่าย โดยทั่วไปแล้วปลาทีอยู่ผิวหน้าน้ำของน้ำเค็มมักจะเป็นปลากลุ่มพิเศษคือยู่ในสภาพที่เป็นน้ำกร่อย หรือน้ำจืดได้ จึงไม่ค่อยพบโศกนาฏกรรมหมู่ของปลากลุ่มนี้มากนัก
อย่างไรก็ตามโดยส่วนตัวไม่เชื่อนักว่า จะเกิดจากสาหร่ายสีเขียว สีแดง ดังที่กล่าวไว้ในบทความของลิงค์ที่สอง เนื่องจากการเกิดน้ำหลากมันเกิดในระยะเวลาที่ไม่น่ามากพอ (คุณตุ้มบอกว่าไม่เกินสองวัน) ประกอบกับช่วงที่เกิดมันเป็นฤดูฝนที่มักมีปริมาณแสงไม่มากนัก ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ไม่มีผลต่อการกระตุ้นการเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วของสาหร่าย ยกเว้นธาตุอาหารที่จะเพิ่มจำนวนมากขึ้นจากตะกอนที่มากับน้ำจืด
การที่หอยตาย ผมว่าด้วยอิทธิพลของน้ำจืดมากกว่า เพราะว่าหอยเป็นสัตว์ที่เกาะติดไม่สามารถเคลื่อนที่หนีน้ำจืดได้ ในช่วงวันสองวันแรกการปิดเปลือกอาจทำให้รอดชีวิตอยู่ได้ แต่การแช่ในน้ำจืดนานๆ ระบบออสโมซิสของหอยก็เสียได้เช่นกัน
ความเห็นที่ 3.1
ความเห็นที่ 3.2
ความเห็นที่ 4
ส่วนปลาผิวน้ำหรือกลางน้ำ แม้เป็นพวกทนความเค็มช่วงแคบ stenohaline แต่มีความสามารถว่ายหนีทันจึงพบหงายท้อง น้อยกว่า
ความเห็นที่ 4.1
ความเห็นที่ 5
ความเห็นที่ 6
ความเห็นที่ 6.1
ความเห็นที่ 7
ความเห็นที่ 8
ความรู้เต็มๆ เลยครับ ขอบคุณครับ
ความเห็นที่ 9
ปล.อ.สมหมายนี่ขยันพิมพ์จริงๆ