บทเรียนจากน้ำท่วม 2554 เอามาแบ่งปัน

What I have learned from flood :)

โดย Bird Suphasuk เมื่อ 29 ตุลาคม 2011 เวลา 16:51 น.
 

เพื่อนบอกว่าเราเป็นพวกชอบ “จับผิด”รัฐบาลชุดปัจจุบัน (อยากเรียกว่าท้วงติงอย่างมีสติมากกว่า)  เราจึงขอเริ่มทำตัวให้เป็นประโยชน์โดยการสรุปว่า ตัวเราเองเรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้บ้างค่ะ   

  1. รู้จักภูมิศาสตร์ (geography & topography) ของประเทศดีขึ้น  วันวันนั่งดูแต่แผนที่
  2. การจัดการน้ำแบบบูรณาการ (IWRM) เป็นเพียงคำพูดที่สวยหรู  
  3. ประกันภัยธรรมชาติ & วินาศภัย กำลังจะมาแรงแซงโค้งประกันสุขภาพ
  4. ไอเดียสร้างสรรของคนไทยกระฉูดมาก เช่น ถุงห่อรถ  สุขาเก้าอี้  ถุงจัดหนัก  อุปกรณ์พยุงตัวทั้งหลาย
  5. ปรากฏการณ์ความร่วมมือระหว่างสื่อมวลชน  นักวิชาการ  NGOs ภาคเอกชน และพระสงฆ์
  6. “รั้วของชาติ” ไม่ใช่แค่ต่อสู้ภัยสงคราม แต่ภัยธรรมชาติเราก็พึ่งพาได้  ขอบคุณทหารหาญ
  7. ที่ผ่านมา ไม่มีการตรวจสอบ/ควบคุมคุณภาพของพนังกั้นน้ำในพื้นที่เอกชน
  8. เทคโนโลยีสารสนเทศและแบบจำลองต่างๆ ช่วยให้ความกระจ่างของข้อมูล  แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับทักษะการแปรผลและสื่อสารข้อมูลของบุคคลเป็นสำคัญ
  9. การตัดสินใจและการสื่อสารโดยไม่คิดอย่างรอบคอบ & ขาดข้อมูลที่เชื่อถือได้รองรับ อาจเป็นการเพิ่มปัญหามากกว่าแก้ปัญหา   
  10. การแจ้งเตือนล่วงหน้า พร้อมความถูกต้อง&ชัดเจนของข้อมูล ช่วยลดความตื่นตระหนกของประชาชน
  11. ความตื่นตระหนกทำให้คนกักตุนสินค้าจำเป็น เช่น น้ำดื่มและไข่ไก่  และเมื่อสินค้าขาดตลาดคนก็จะยิ่งแตกตื่นกันขึ้นไปอีก
  12. มีเงินก็ใช่ว่าจะซื้อทุกอย่างได้  การแบ่งปัน&ความช่วยเหลือคือกุญแจสำคัญที่จะทำให้ทุกคนอยู่รอด  less is more
  13. การรับบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย บางครั้งก็ถูกใช้เพื่อประชาสัมพันธ์ธุรกิจ องค์กร หรือกลุ่มบุคคล (public relations) มากจนเกินไป
  14. การจัดการน้ำและปัญหาผลกระทบสิ่งแวดล้อมถูกนำมาเชื่อมโยงกับการเมืองทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ    ข้อดีคือประเทศเราจะเริ่มมีพรรคการเมืองแบบ green party ที่ใช้ นโยบายสิ่งแวดล้อมแสดงเจตจำนงทางการเมือง (political will)  
  15. นโยบายผังเมืองถูกผ่อนผันมากเกินไป  พื้นที่ลุ่มต่ำใกล้แหล่งน้ำที่เคยใช้ทำเกษตร ถูกเอาไปสร้างนิคมอุตฯ จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กิจกรรมเหล่านี้ได้รับผลกระทบรุนแรง   น่าคิดต่อไปว่าที่ผ่านมารายงาน EIA ถูกจัดทำขึ้นอย่างรัดกุมหรือไม่ ทั้งการประเมินความเหมาะสมของพื้นที่ และมาตรการลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
  16. พื้นที่เกษตรถูกย้ายออกไปให้ไกลโพ้นจากแหล่งน้ำ  (บ้างก็ไปบุกรุกป่าคุ้มครอง พอมันเจริญขึ้นก็ขายสปก.ให้รีสอร์ท อุ๊บส์...โทษทีนอกเรื่อง)  ต้องหันไปพึ่งพาการส่งน้ำจากเขื่อนเก็บน้ำขนาดใหญ่ --> ปีนี้เลยเก็บน้ำกันซะล้นเลย
  17. แรงงานอุตฯ พากันอพยพกลับบ้านเกิดไปทำนาทำไร่   จะอย่างไรแผ่นดินไทยก็มีเกษตรกรรมเป็นรากฐาน ดีใจจัง
  18. เกษตรกรต้องการนโยบายประกันราคาข้าวและพืชผลทางการเกษตรที่เป็นธรรม    ไม่งั้นก็หนีไม่พ้นปัญหาหนี้นอกระบบ  การแก่งแย่งน้ำในหน้าแล้ง  หรือเกี่ยงกันเป็นพื้นที่รับน้ำท่วม  ในขณะที่เรากำลังจะเจอวิกฤตน้ำท่วม-น้ำแล้งบ่อย&รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จากผลพวงของโลกร้อน
  19. ชุมชนเริ่มเห็นความสำคัญของการสร้างเขื่อนขนาดเล็ก แหล่งเก็บน้ำขนาดย่อย และการดูแลพื้นที่ชุ่มน้ำ เพื่อให้สามารถบริหารจัดการน้ำได้เองและลดความเสี่ยงจากน้ำท่วม แต่ท้องถิ่นยังต้องรอการสนับสนุนด้านนโยบายและงบประมาณจากภาครัฐ
  20. คน 1 ใน 3 ของประเทศอาศัยอยู่ในพื้นที่เมืองซึ่งเป็นพื้นที่ท้ายน้ำและที่ลุ่มต่ำ  กรุงเทพและเมืองอุตฯรอบๆ คือตย.ที่ชัดเจนที่สุด   แต่เราไม่ตระหนักถึงการเชื่อมโยงระหว่างพื้นที่ท้ายน้ำกับป่าต้นน้ำที่อยู่ตามหุบเขาและที่ราบสูง  ทั้งๆ ที่จริงแล้วผืนป่านี้ช่วยเราสำรองน้ำจืดไว้ถึง 60-80% ก่อนจะค่อยๆ ปล่อยลงสู่พื้นที่ท้ายน้ำ  เราทำลายป่าและหันไปพึ่งพาการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่เพื่อกักเก็บน้ำ
  21. อย่ามัวแต่โทษผลกระทบจากการสร้างเขื่อนและความล้มเหลวในการจัดการน้ำ  ถ้าตัวเราเองยังไม่เริ่มต้นประหยัดพลังงานไฟฟ้าและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ  เราทุกคนก็เป็นต้นเหตุของปัญหา   
  22. น้ำท่วมอีก 1 เดือนจากนี้ไป จะช่วยให้เราเข้าใจสมดุลธรรมชาติมากขึ้นโดยอัตโนมัติ  เหมือนที่เขาบอกว่า Tell me and I'll forget. Show me and I'll remember. Involve me and I'll understand.~ Chinese proverb
  23. ที่ผ่านมาเราไม่มีการจัดเก็บและแยกขยะที่ดีพอ   พอน้ำท่วมจึงกลายเป็นแหล่งแพร่กระจายเชื้อโรค  ซ้ำยังกีดขวางทางระบายน้ำอีก
  24. ควรมีมาตรการควบคุมร้านอาหารชานเมืองที่เลี้ยงจระเข้  ไม่งั้นถึงเวลาน้ำท่วมก็ตัวใครตัวมัน
  25. คิดต่างก็อยู่ร่วมกันได้บนผืนน้ำเดียวกัน  ถ้าเราแสดงความคิดเห็นอย่างมีขอบเขต  ประชาธิปไตยจะเบ่งบาน

พยายามแล้วนะคะ  แต่...ครึ่งนึงของที่สรุปมา มันก็ยังเป็นการจับผิดอยู่ดี555  แต่เชื่อว่าเมื่อเราเรียนรู้และยอมรับกับเหตุการณ์เฉพาะหน้า และพยายามเข้าใจมันในภาพรวมมากขึ้น เราจะกลัว “น้องน้ำ” น้อยลง  (ส่วนไอ้เข้กับงูหนีน้ำยังกลัวมากเหมือนเดิม lol)

 

ขอบคุณที่อ่านค่ะ

ศุภสุข ประดับศุข WWF Thailand

29 ตค 2554

 

ปล.มีหนังสือน่าอ่านอยากแนะนำชื่อ Running Pure  www.panda.org/downloads/freshwater/runningpurereport.pdf

 

Comments

ความเห็นที่ 1

ดร.เดินสำรวจปลารอบๆยังครับ 

ความเห็นที่ 2

" นโยบายผังเมืองถูกผ่อนผันมากเกินไป " ถูกเลย .... จริงๆผิดตั้งแต่เอากรุงเทพมาวางไว้ตรงนี้แล้วมั้ง  + พื้นที่ต่ำที่เคยรับน้ำ ก็ถม ทำนิคมอุตสาหกรรม ทำหมู่บ้านจัดสรร เพราะราคามันถูก ส่วนถนนก็สร้างขวางทางน้ำซะเฉยๆ

การทิ้งขยะลงแม่น้ำลำคลองเป็นส่วนหนึ่งทำให้ไปอุดตันระบบ ควรหันมาเข้มงวดปรับหนักๆกันอีกสักครั้ง (วันก่อนเห็นตำตา โยนถุงขยะที่มัดแล้วลงคลอง อยากยิงมิสไซต์ไปในบ้านมัน)

พอค้นหาความรู้ ข้อมูลเกี่ยวกับน้ำท่วมในอินเตอร์เนท 70% ก็ดันเป็นข้อมูลขยะ บ้างก็เน้นให้ตื่นตูม บ้างก็กุเรื่องกุข่าวหวังผลทางการเมือง เอาสาระอันน้อยนิดมาบิดเบือนอีกหน่อย 

ความเห็นที่ 2.1

ตอนสมัย ร. 1 ถูกแล้ว เพราะกรุงรัตนโกสินทร์ อยู่บนที่ดอนริมขวาเจ้าพระยา มีทะเลตม (ใต้ฝั่งธนฯลงไปจดอ่าวไทย/ Chao Phraya estuary) หนุนหลัง ปทุมฯ อยุธยา เป็นแก้มลิงรับน้ำด่านหน้า และแหล่งข้าว-ปลา แต่ยุคเศรษกิจขยายตัว 40-35 ปีก่อนที่รัฐเริ่มปล่อยให้นายทุนครอบครองทุก ตร นิ้ว จนถึงวันนี้ นั่นแหละ บัดซบ

ความเห็นที่ 2.1.1

พื้นที่มันเปลี่ยนไปนี่เอง

ความเห็นที่ 3

ที่แน่ๆก็คือ เราผิดกันทุกคน ตั้งแต "รู้มาแต่เด็กๆไม่ต่ำกว่า 2 รุ่น ว่าป่าไม้ช่วยให้น้ำท่วมน้อยลง แล้งน้อยลง แต่ผู้มีอำนาจ ไม่เคยลงทุนในการดูแลป่ามาเลยนับกว่าหลายสิบปีถึงวันนี้ ต้นน้ำเจ้าพระยาเหลือถึง 15% หรือไม่? ที่จริงต้องมากกว่า 30% ถือว่าน้อยสุดๆแล้ว (อ้างถึง ศ. เกษม จันทรแก้ว ใน กระทู้ที่ นนณ์ post)" ในขณะเดียวกัน พื้นที่น้ำผ่าน แก้มลิง หรือ floodplain ในภาคกลาง (บึงบอระเพ้ดถึงอ่าวไทย)  มีพื้นที่หลวง-สาธารณะ เหลือถึงตารางนิ้วหรือไม?????

ความเห็นที่ 4

บทเรียนครั้งนี้สอนผมว่า ไม่ควรบริจาคสิ่งของผ่านทาง ศปภ. อีกต่อไป

ความเห็นที่ 5

บทเรียนครั้งนี้สอนผมว่า ไม่ควรบริจาคสิ่งของผ่านทาง ศปภ. อีกต่อไป

ความเห็นที่ 6

ทหารได้ช่วยน้ำท่วมตามต่างจังหวัดล่วงหน้าราวๆ 3 เดื นครับ จับพลั่วมากกว่าปืนก่ นผมมาอยู่ยะลาก็ทำกระสอบทรายกั้นน้ำตามแผนเผชิญเหตุล่วงหน้าก่อนราวๆ2 เดือน ในค่ายปลอดภัยดีครับ ยุทโธปกรณ์ปลอดภัย น้องๆพลทหาร เหนื่อยเหมือนเดิม อิๆ

ความเห็นที่ 7

yes ผมสมองตัน ช่วงนี้ ปวดท้อง ปวดหัว ปวดหลัง ปวดไหล่ ปวดใจ ไร้พลังสร้างสรรค์ใดๆ สงสัยว่าจะเสพข่าวมากไป หนีไปทำงานต่างจังหวัด ก็ยังเจอเรื่องแย่ๆอีก เซ็งห่าน