กลไกอัศจรรย์ของผลมหัศจรรย์ (miracle fruit)

ผมเชื่อว่าหลายคนคงรู้จักความมหัศจรรย์ของพืชนี้ดี สิ่งมหัศจรรย์จะเกิดขึ้นเมื่อเรากินผลสีแดงของมัน และตามด้วยของเปรี้ยวๆ ตามไป หลังจากนั้นไม่นานความเปรี้ยวก็เปลี่ยนเป็นความหวานไปในบัดดล! แม้จะมีการศึกษามากมายเกี่ยวกับสารและคุณสมบัติที่ทำให้เกิดความหวานนี้ขึ้น แต่ยังไม่มีนักวิจัยกลุ่มไหนสามารถอธิบายกลไกการเกิดนี้ได้เลย จนกระทั่งเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมานี้ ทีมนักวิจัยญี่ปุ่นและฝรั่งเศสสามารถอธิบายกลไกดังกล่าวได้สำเร็จเป็นครั้งแรก!

Comments

ความเห็นที่ 1

หนึ่งในพืชที่สร้างความสนเท่ห์ให้กับผู้อยากสัมผัสความมหัศจรรย์จากลูกของมันก็คือ ต้นมหัศจรรย์ (Synsepalum dulcificum) พืชชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบตะวันตกของทวีปแอฟริกา เป็นต้นไม้ที่มีความสูงได้มากถึง 5เมตรและได้รับพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ให้มีความสูงไม่มากนักเพื่อเหมาะกับการนำมาปลูกเป็นไม้ประดับตามบ้านเรือน ดอกมีกลิ่นหอม ออกผลตลอดทั้งปี และผลแก่จะมีสีแดงสด ความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นก็คือ หลังจากเรากินผลสีแดงของมันไป และตามด้วยอาหารที่มีรสเปรี้ยว ความเปรี้ยวของอาหารนี้จะเปลี่ยนเป็นรสหวาน และอยู่ได้นานไม่ต่ำกว่า 1ชั่วโมง ซึ่งความรู้นี้มีนานมาหลายศตวรรษจากชาวแอฟริกาพื้นเมืองที่มักจะกินผลไม้ชนิดนี้ก่อนกินของเปรี้ยวครับ

ความมหัศจรรย์ในการเปลี่ยนรสเปรี้ยวให้เป็นรสหวานนี้ทำให้มีการศึกษามากมายเกี่ยวกับสารสำคัญและคุณสมบัติของมัน จนในปี พ.ศ. 2511 ทั่วโลกจึงได้รู้ว่าสารที่ทำให้เกิดความหัศจรรย์นี้ก็คือ มิราคูลิน (Miraculin; MCL) โดยการศึกษาของ J.N. Brouwer สารมิราคูมินเป็นไกลโคโปรตีนที่ประกอบไปด้วยกรดอะมิโน 191ตัวและน้ำตาลโดยมีน้ำตาลเป็นองค์ประกอบ 13.9%ไม่มีสีและไม่มีรสชาติ และมีการตั้งทฤษฎีกลไกการทำงานของสารนี้ว่า เมื่อเรากินลูกมหัศจรรย์สีแดงสดเข้าไป สารมิราคูลินจะจับกับตัวรับรสหวานตุ่มรับรส (taste bud) และเปลี่ยนโครงสร้างของตัวรับ ทำให้ตัวรับรสหวานตอบสนองกับทั้งรสหวานและรสเปรี้ยว และเมื่อเรากินอาหารที่มีรสเปรี้ยวตามไป ตัวรับรสหวานก็ทำงานและส่งกระแสประสาทไปยังสมองบอกว่าอาหารนั้นมีรสหวานนั่นเองครับ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีนักวิทย์คนใดทำการทดลองเพื่อยืนยันทฤษฎีดังกล่าว
ภาพโมเดลของสารมิราคูลิน (สีเขียว) ที่จับกับตัวรับรสหวาน (สีเทากับสีเหลือง) อย่างเหนียวแน่น (Koizumi et al., 2011)

ความเห็นที่ 2

จนกระทั่งเดือนกันยายน พ.ศ. 2554  ทีมนักวิจัยชาวญี่ปุ่นและฝรั่งเศสได้ตีพิมพ์ความสำเร็จในการศึกษากลไกการทำงานของสารมิราคูลินลงในวารสาร Proceedings of the National Academy of Sciences (PNAS) พวกเขาได้ทำการศึกษาการทำงานของสารมิราคูลินในตัวรับรสหวานทั้งของคนและหนูที่ดัดแปลง(มาจากเซลล์ไตของมนุษย์)เพื่อให้ทราบว่าบริเวณพื้นที่ใดของตัวรับรสหวานที่สารนี้ไปเกาะ พวกเขาพบว่า สารมิราคูลินจะไปเกาะกับตัวรับรสหวาน (ชื่อว่า hT1R2-hT1R3) อย่างเหนียวแน่น ในสภาวะที่เป็นกลาง (ไม่เป็นกรดหรือด่าง) มิราคูลินจะมีโครงสร้าง (‘inactive form’) ที่ไปยับยั้งการทำงานของตัวรับรสหวาน ทำให้เรารู้สึกว่ามิราคูลินไม่มีรสชาตินั่นเอง แต่ถ้ามีสารให้ความหวานอื่น (sweeteners) เกาะร่วมอยู่ด้วย มิราคูลินจะไปลดการทำงานของตัวรับรสหวาน ทำให้เรารับรู้ถึงความหวานของสารให้ความหวานอื่นลดลง และเมื่ออยู่ในสภาวะเป็นกรด มิราคูลินจะเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง (อยู่ในรูป 'activeform’) และกระตุ้นการทำงานของตัวรับรสหวานให้มากขึ้น ทำให้เราได้รับรู้รสหวานเมื่อกินอาหารที่มีรสเปรี้ยวตามไป (ยิ่งของกินมีรสเปรี้ยวมากเท่าใด เราก็จะรับรู้รสหวานมากขึ้นเท่านั้น) และยิ่งมีสารให้ความอื่นรวมอยู่ด้วย จะทำให้เรารับรู้ความหวานของสารให้ความหวานอื่นมากกว่าปกติ และเมื่อกลืนของเปรี้ยวไปแล้ว สารนี้จะกลับสู่ร่างเดิม ('inactive form')  และเกาะติดแนบแน่นกับตัวรับนานประมาณ 1ชั่วโมง
(A) ในสภาวะเป็นกลาง มิราคูลิน (ในรูป inactive) จะยับยั้งการทำงานของตัวรับรสหวาน แต่ในสภาวะเป็นกรด มิราคูลินจะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและทำให้ตัวรับทำงานได้มากขึ้น ส่วน (B) เมื่อสภาวะเป็นกลางและมีสารให้ความหวานอื่นๆ รวมอยู่ด้วย มิราคูลินจะไปลดการทำงานของตัวรับ การทำงานของตัวรับหวานต่อมิราคูลินในค่า pH ต่างๆ จะเห็นว่าตัวรับทำงานได้ดีในสภาวะที่เป็นกรด

ความเห็นที่ 3

นอกจากนี้ พวกเขาเทียบกลไกและคุณสมบัติของมิราคูลินกับสารที่แปลงความเปรี้ยวเป็นความหวานอีกอย่างหนึ่งคือ สารนีโอคูลิน (neoculin; NCL) ที่อยู่ในผลของต้นพร้าวนกคุ่ม (Lempah; Curculigo latifolia) ที่พบทางใต้ของประเทศไทยและทางตะวันตกของประเทศมาเลเซียแล้วพบว่า นีโอคูลินมีทั้งความเหมือนและความต่างกับมิราคูลิน สิ่งที่เหมือนกันคือ สารนี้ก็เกาะกับตัวรับรสหวาน และรับรู้รสหวานเมื่อกินอาหารที่มีรสเปรี้ยวเหมือนกัน แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือ สารนีโอคูลินมีขนาดและรูปร่างแตกต่างกัน และมันเกาะกับตัวรับรสหวานคนละพื้นที่ อีกทั้งสารนี้มีรสหวานในสภาพที่เป็นกลาง และจะหวานมากขึ้นเมื่ออยู่ในสภาพที่เป็นกรด
 
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ โปรตีนโดยทั่วไปจะไม่มีรสหวาน (ลองนึกถึงเนื้อดูครับ) และผลไม้ก็มักเต็มไปด้วยน้ำตาลเพื่อดึงดูดให้สัตว์กินแล้วช่วยในการแพร่กระจายเมล็ดที่อยู่ภายในผลของมัน แต่วิวัฒนาการก็ทำให้พืชบางกลุ่มกลับใช้โปรตีนแสนกลแทนน้ำตาล ซึ่งอาจเป็นเพราะต้นพืชสร้างน้ำตาลได้น้อย พืชจึงสร้างโปรตีนที่ทำให้สัตว์ที่กินผลเข้าไปกลับรับรู้ถึงรสหวานขึ้นมาแทน มิราคูลินและนีโอคูลินเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของโปรตีนที่ให้รสหวานมากมายครับ

ที่มารูป: http://herba.herbal.my/wp-content/uploads/2010/09/lemba.jpg 
ต้นพร้าวนกคุ่ม (Curculigo latifolia)

ความเห็นที่ 4

ด้วยผลที่น่ามหัศจรรย์นี้เอง ทำให้มิราคูลินเป็นหนึ่งในตัวเลือกของสารให้ความหวานที่มาจากธรรมชาติ เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานและผู้ที่ต้องการลดความอ้วน แต่สารนี้ไม่ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) ให้วางขายในท้องตลาด แต่ในประเทศญี่ปุ่น กระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการได้พิสูจน์แล้วว่าสารมิราคูลินเป็นสารเติมแต่งอาหารที่ปราศจากอันตราย จึงมีการคิดค้นสารมิราคูลินแบบเม็ดวางขายกัน ต่อไปเราคงไม่ต้องรอให้มีความรักเพียงอย่างเดียว แค่กินลูกมหัศจรรย์ อะไรที่ว่าเปรี้ยวก็แสนหวานได้เช่นกันครับ

ที่มารูป: http://www.thinkgeek.com/images/products/zoom/ab3f_miracleberry_fruit_tablets.jpg
มิราคูลินแบบเม็ด

ความเห็นที่ 5

เอกสารอ้างอิง:

   Ayako Koizumi, Asami Tsuchiya, Ken-ichiro Nakajima, Keisuke Ito, Tohru Terada, Akiko Shimizu-Ibuka, Loic Briand, Tomiko Asakura, Takuma Misaka, and Keiko Abe. 2011. Human sweet taste receptor mediates acid-induced sweetness of miraculin. Proceedings of the National Academy of Sciences ( สามารถโหลดได้จาก http://www.pnas.org/content/early/2011/09/16/1016644108.full.pdf+html )

ขอขอบคุณ:
  พี่ Wipit ที่เอื้อเฟื้อรูปสวยๆ ครับ  บัว พริม เจินเจิน และแป้งที่ช่วยให้คำแนะนำดีๆ และขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านครับ

ความเห็นที่ 6

ขอบคุณครับ

ความเห็นที่ 7

ไม่เหมือน รีวิวเปเปอร์จริงๆ ด้วยพี่ เหมือนเขียน blog ใน pantip คุ้นๆ เหมือนพี่เคยเขียนประมาณนี้ด้วย ฮ่าๆ

ความเห็นที่ 7.1

อีกหนึ่งประโยชน์จากการศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพ =]

ความเห็นที่ 7.2

เอาออกคำว่า เม้ามอย ออกแล้ว ดูมันไม่เหมาะสมจริงๆ นั่นแหละ เอิ๊กๆๆๆ

ความเห็นที่ 8

พร้าวนกคุ้ม เคยเก็บกิน

ความเห็นที่ 8.1

ขอบคุณครับพี่หนึ่ง อัพเดทข้อมูลเรียบร้อยครับ

ความเห็นที่ 9

อ่านแล้วจ้าyes

ความเห็นที่ 10

ขอบคุณสำหรับบทความดีๆนะคะ อาจารย์ดิว ^^

ความเห็นที่ 11

yes

ความเห็นที่ 12

อ่านง่ายกว่า paper เยอะเลยครับ 55

ความเห็นที่ 13

ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านคร้าบบ _/|\_

ความเห็นที่ 14

ได้ความรู้เพิ่มเติมอีกแล้ว ขอบคุณคุณดิวครับ 

ความเห็นที่ 15

น่าจะรับจ้างเขียนบทความนะเนี่ย คนเนี่ยอ่ะ งานอิสระ รายได้ดี ได้เที่ยวด้วย เลี้ยงหลานด้วย ^^

ความเห็นที่ 16

แบบนี้ก็หวานได้ทุกสถานการณ์เลยนะครับท่านดิว

ความเห็นที่ 17

ดิวเอาไปทำเป็น บทความ เก็บไว้ด้วยนะครับ หาง่ายกว่าหน่ะ

ความเห็นที่ 18

ขอบคุณทุกท่านคร้าบ
เรื่องบทความ...ได้เลยครับ พี่นณณ์