ไม้ป่าอุทยานฯภูสอยดาว จ.พิษณุโลก - จ.อุตรดิตถ์

 ชนิดที่3 น่าจะอยู่ในวงศ์ APIACEAE พบขึ้นตามที่โล่งแจ้งของทุ่งหญ้าป่าสนเขา

 ชนิดที่5 อยู่ในวงศ์ FABACEAE เป็นไม้เลื้อย ใบประกอบแบบขนนกปลายคู่ ใบย่อยรูปขอบขนาน ปลายใบมน ขอบใบเรียบ โคนใบมน ออกดอกเป็นช่อที่ปลายยอด  พบเลื้อยตามพื้นและพาดต้นไม้อื่นในป่าดิบแล้งและป่าเบญจพรรณ

 ชนิดที่7 น่าจะอยู่ในวงศ์ LAMIACEAE ใบออกเป็นคู่ตรงกันข้ามและสลับตั้งฉาก ใบรูปใบหอก หรือหัวใจ ปลายใบแหลม ขอบใบหยัก โคนใบมนหรือเว้าเล็กน้อย ออกดอกเป็นช่อตั้งที่ปลายยอด พบขึ้นอยู่ตามทุ่งหญ้าป่าสนเขา

 ชนิดที่9 คิดว่าเป็นสกุล Clerodendrum และน่าจะอยู่ในวงศ์ LAMIACEAE ออกดอกเป็นช่อที่ปลายยอด พบใต้ร่มเงาไม้ในป่าก่อและป่าดิบเขา

 ชนิดที่10 ใบออกเป็นคู่ตรงกันข้ามและสลับตั้งฉาก ใบรูปขอบขนานแกมใบหอก ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ โคนใบแคบ ก้านใบสั้นมาก ออกดอกเป็นช่อที่ปลายยอด ดอกเป็นหลอดรูปแจกัน ปลายผายออกเป็น4กลีบ พบตามที่โล่งแจ้งของทุ่งหญ้าป่าสนเขา นอกจากนี้ยังพบลักษณะคล้ายกันอีกต้นหนึ่ง แต่ต่างกันที่กลีบเลี้ยงและสีของดอก ไม่แน่ใจว่าเป็นชนิดเดียวกันหรือไม่

 ชนิดที่11 บางช่วงของต้นก็ใบเดียว บางช่วงก็มีใบประกอบแบบใบย่อย3ใบ ใบรูปช้อน หรือรูปไข่กลับ ปลายใบมน ขอบใบเรียบ โคนใบเรียวแคบ ออกดอกตามปลายกิ่งก้านและยอด พบตามสันเขา และทุ่งหญ้าป่าสนเขา

 ชนิดที่12 เป็นชนิดสุดท้ายครับ ดอกรูประฆังคว่ำ สีเหลือง ส่วนอื่นไม่ทราบครับ พอดีรุ่นน้องพบ

ขิงข่าก็มีครับที่พบมีอยู่ 2 ชนิดครับ

ผมยังมีพืชตระกูลขิงข่าอีก1ชนิดครับที่พบในอุทยานฯภูสอยดาว แต่พบผลของเขาเท่านั้น พอจะทราบไหมครับว่ามีชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไร ทั้งชื่อไทยและชื่อวิทยฯ