เปิดไว้สักกระทู้ ไว้คุยกันเรื่อง น้ำมันรั่วที่ระยอง
เขียนโดย GreenEyes Authenticated user เมื่อ 30 กรกฎาคม 2556
ในฐานะ กลุ่มอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและสิ่งแวดล้อม เราก็ควรได้รับรู้ได้คุยเรื่องนี้กันบ้าง
พร้อมทั้งจะได้แชร์ความเห็นกันในหมู่นักนิยมธรรมชาติและนักวิชาการทั้งหลายครับ
ปลาเป็นยังไง ปูเป็นยังไง นกเป็นยังไง ทะเล แพลงก์ตอน ระบบนิเวศ สถานการณ์ ข่าว การบำบัด ฯลฯ
แชร์กันคุยกัน ตามสะดวกครับ
พร้อมทั้งจะได้แชร์ความเห็นกันในหมู่นักนิยมธรรมชาติและนักวิชาการทั้งหลายครับ
ปลาเป็นยังไง ปูเป็นยังไง นกเป็นยังไง ทะเล แพลงก์ตอน ระบบนิเวศ สถานการณ์ ข่าว การบำบัด ฯลฯ
แชร์กันคุยกัน ตามสะดวกครับ
Comments
ความเห็นที่ 1
เมื่อเวลาประมาณ 06.50 น. วันที่ 27 กรกฎาคม 2556 ขณะที่เรือบรรทุกน้ำมันกำลังขนถ่ายน้ำมันดิบผ่านทุ่นรับน้ำมันดิบมายังโรงกลั่นน้ำมันของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด(มหาชน) นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด อ.เมืองระยอง ได้เกิดอุบัติเหตุท่อรับน้ำมันดิบขนาด 16 นิ้ว รั่วที่บริเวณทุ่นรับน้ำมันดิบ (Single Point Mooring ) STP ที่อยู่ห่างจากฝั่งท่าเรือนิคมอุตาสาหกรรมมาบตาพุดไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 20 กิโลเมตร ปริมาณราว 50-70 ตัน
ความเห็นที่ 2
ความรุนแรงระดับ 2 หรือ (Tier II)
(ระดับที่ 2 (Tier II) รั่วไหลมากกว่า 20 - 1,000 ตันลิตร อาจเกิดจากเรือโดนกัน การขจัดคราบน้ำมันต้องร่วมมือกันระหว่างภาคเอกชนและภาครัฐ ตามแผนป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมันแห่งชาติ และต้องแจ้งให้กรมเจ้าท่าทราบก่อน หากเกินขีดความสามารถของทรัพยากรที่มี อาจต้องขอรับการสนับสนุนจากต่างประเทศ)
จุดที่รั่ว อยู่ในเขต 1 หรือ เขตที่มีความเสี่ยงสูงสุดของประเทศอยู่แล้ว
(บริเวณชายฝั่งทะเลด้านตะวันออก ครอบคลุมพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง เป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรม มีกิจกรรมการขนถ่ายน้ำมันบริเวณท่าเทียบเรือและกลางทะเล)
วิธีแก้ไขเดิมๆที่พอจะรู้ก็คือ ปกติแล้วก็จะล้อมทุ่น ตักน้ำมันที่ลอยอยู่ออก ที่เหลือที่ตักไม่ได้ ก็ใช้สารลดแรงตึงผิวทำให้น้ำมันละลายลงไปในน้ำ แล้วรอให้ธรรมชาติบำบัดตัวเอง
ความเห็นที่ 3
อนิจจา น้ำมันไปตามน้ำออกมาเป็นทางกว้างเป็นร้อยเมตร ยาวหลายกิโล แต่ทุ่นที่ไว้ล้อมน้ำมัน ยาวแค่ 200 เมตร
ความเห็นที่ 4
สารที่เรียกว่า "สารขจัดคราบน้ำมัน" ดังในข่าว ที่มีรายละเอียดว่า "สารเคมีขจัดคราบน้ำมันจะทำให้น้ำมันแตกตัวเป็นหยดขนาดเล็กกระจายลงไปในน้ำ"
จะเป็นสารในกลุ่มสารลดแรงตึงผิว โดยกลไกของมัน โมเลกุลของสารกลุ่มนี้จะจับตัวเป็นก้อนละลายอยู่ในน้ำ และในก้อนนั้นสามารถจุน้ำมันได้ ทำให้น้ำมันสามารถละลายลงไปในน้ำได้ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือbioavailability เพิ่มขึ้น พูดง่ายๆก็คือ เกิดปฏิกิริยาทางชีวภาพได้ง่ายขึ้น
1. ก็คือ แบคทีเรียจะเข้าถึงน้ำมันเหล่านี้ง่ายขึ้น เกิดการย่อยสลายเร็วขึ้น (ตามข่าวว่าจะใช้เวลาราว 2 สัปดาห์)
2. สัตว์น้ำต่างๆก็จะสัมผัสน้ำมันเหล่านั้นได้ง่ายขึ้นเช่นกัน และเกิดอาการเป็นพิษได้ง่ายขึ้นเช่นกัน
3. "ถ้า"สารลดแรงตึงผิวที่ใช้เป็นพิษ ก็จะทำให้เกิดพิษหนักขึ้น ซึ่งตรงนี้ไม่ทราบว่าสารที่ใช้คือตัวไหน
อย่างดีที่สุด สมมติว่าน้ำมันเหล่านี้ไม่เป็นพิษนัก สารลดแรงตึงผิวที่ใช้ก็ไม่เป็นพิษ และบังเอิญไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นๆว่ายผ่านเจ้ามวลน้ำมันที่ละลายน้ำผสมกับสารลดแรงตึงผิวในช่วงนั้นเลย (โชคดีสุดๆแล้ว) ก็ยังจะเกิดสภาพที่ต้องการอากาศในการย่อยสลาย สารต่างๆที่รั่วออกมากมหาศาลอยู่ดี เคยได้ยินรายงานในลักษณะเกิดมวลน้ำที่มีสารอินทรีย์ละลายน้ำสูง ออกซิเจนต่ำ จากเคส BP อยู่ ** ดังนั้นคำพูดที่ว่า "ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม" ไม่มีทางเป็นความจริงได้เลย
คำพูดนี้่ไม่ควรพูดออกมาด้วยซ้ำ เพราะพึ่งมีเคสน้ำมันรั่วของ BP อยู่ ยังจำได้กันอยู่เลย
ปล สารที่ว่าภาษาอังกฤษ ใช้คำว่า "oil dispersants" แปลว่า "สารกระจายคราบน้ำมัน" (ไม่ใช่กำจัด หรือ ขจัด)
ความเห็นที่ 4.1
ความเห็นที่ 5
ภาพจาก GISTDA
ความเห็นที่ 5.1
ความเห็นที่ 6
ความเห็นที่ 7
สำหรับการกำจัดน้ำมันที่อ่าว และชายหาด จะใช้วิธีตักคราบหนาๆเหนียวๆบนน้ำออก
ส่วนทรายก็จะตักออกเพื่อนำไปบำบัด
แล้วเราก็จะเห็นแนวทุ่นที่เปนตัวดูดซับวางไว้ด้วย
ความเห็นที่ 8
http://www.eng.chula.ac.th/node/824
ความเห็นที่ 9
แต่ชื่อนี้ search แล้วไม่มีอยู่ คิดว่านักข่าวคงสะกดผิด
เข้าใจว่าเป็น Slickgone NS Type 2 / Type 3
ถ้าใช่ ตัวนี้ค่อนข้างปลอดภัย และเป็นที่ยอมรับในระดับโลกพอควร ว่าปลอดภัย และใช้กันในฐานะ Oil dispersant ในทะเลเมื่อเกิดกรณีน้ำมันรั่ว
สารประกอบหลักไปค้นๆมา น่าจะเป็น Kerosene 70% กับ sodium dioctylsulfosuccinate 10% ซึ่งสองตัวนี้ก็จัดว่าค่อนข้างปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม ที่เขาไม่ให้ใช้ในระดับน้ำตื้น (10 หรือ 20 เมตรนี่แหละ) เพราะ อย่างที่บอกไว้ ว่ามันไม่ใช่สารวิเศษใส่ไปแล้วน้ำมันหายไป แต่มันทำให้น้ำมันละลายลงไปในน้ำ ซึ่งทำให้แบคทีเรียกินมันได้ง่ายขึ้น แต่มันก็เป็นพิษต่อสัตว์น้ำ
ถ้าน้ำตื้น น้ำมันที่ลงไปในน้ำ มันไม่ค่อยมีที่ให้กระจายตัวออกไป ความเข้มข้นมันสูง เลยเป็นพิษมากหน่อย แถม มันจะไปโดนระบบนิเวศน้ำตื้น พวกแนวประการัง แนวสาหร่าย อะไรพวกนี้
ถ้าน้ำลึก น้ำมันที่ลงไปในน้ำมันจะมีที่กระจายตัวออกไปได้นั่นเอง
ความเห็นที่ 9.1
ความเห็นที่ 9.1.1
ตกตะกอนนี่ คิดว่าเป็นอีกกลไกหนึ่งนะครับ อาจเกิดขึ้นตามธรรมชาติ น้ำมันไปจับกับเม็ดทรายค่อยๆก่อตัวขึ้นมาเป็นก้อน (ไม่แน่ใจนะครับ)
อนึ่ง น้ำมันนี้เป็นนัำมันดิบ มีสารอินทรีย์หลายตัวผสมกันอยู่ (ยังไม่ได้กลั่นแยกออกมาใช้งาน) บางตัวระเหยง่าย บางตัวระเหยยาก บางตัวละลายน้ำได้เยอะ บางตัวเหนียวไม่ละลายน้ำ บางตัวเบากว่าน้ำ บางตัวหนักกว่าน้ำ วันเวลาผ่านไป ส่วนประกอบของมันก็เปลี่ยนไป ระเหยไปบ้าง ละลายไปบ้าง ส่วนที่จะเหลือๆสุดท้ายจะไม่ค่อยระเหย เหนียวๆ หนักกว่าน้ำ คิดว่าเจ้าส่วนที่เหลือท้ายๆนี่แหละครับ ที่จะจับเป็นก้อนจมอยู่ที่นักนิเวศทางทะเลเขากังวลกัน
ความเห็นที่ 10
clean water from oil
เอามาแปะไว้เพื่อใครสนใจดูวิธีการของต่างประเทศ
http://www.youtube.com/watch?v=KzzkYYYPNxI
ความเห็นที่ 11
1. มันเป็นจุลินทรีประเภทไหน?
2. ปกติมันกินอะไรตอนที่ไม่มีน้ำมันรั่ว?
3. มันกินน้ำมันไปแล้วย่อยออกมาเป็นอะไร?
4. มีมากน้อยและเพิ่มจำนวนได้เร็วแค่ไหนตามธรรมชาติ?
ความเห็นที่ 11.1
ถามคนทำวิจัยทางนี้มาให้ครับ
1.พวก heterotroph
2.พวกนี้ใช้carbonเป็นอาหาร ดังนั้นปกติจะกินพวกสารอินทรีย์
3.ถ้าน้ำมันหรืออาหารของแบคทีเรียมีองค์ประกอบเฉพาะ carbon &. hydrogen ที่สุดแล้วจะย่อยเป็นคาร์บอนไดออกไซด์กับน้ำ ปล. ถ้าสารมีโครงสร้างค่อนข้างซับซ้อนก็อาจจะใช้เวลานานมากกว่าจะได้เป็นfinal productเพราะมันต้องค่อยๆตัดcarbon chainออกทีละกิ่ง และต้องค่อยๆย่อยแต่ละกิ่งออกเป็นchainสายสั้นๆ ซึ่งปกติมันจะเลือกกินสิ่งที่กินง่ายคือสายสั้นๆก่อน
4. ในธรรมชาติมีพวก heterotroph ค่อนข้างมาก(เป็นส่วนใหญ่) ถ้ามีแหล่งคาร์บอนเยอะก็จะเพิ่มจำนวนได้อย่างรวดเร็วในเวลาระดับชั่วโมง ยกตัวอย่างเช่น ข้าวบูด ปล. อย่างไรก็ตามในกรณีน้ำมันรั่วนี้สารค่อนข้างเข้มข้นจนทำให้เกิดความเป็นพิษ กับแบคทีเรียส่วนใหญ่
สรุปคือในความเห็นแจง ถ้าน้ำมันยังอยู่เป็นชั้นหนาๆอยู่แบคทีเรียส่วนใหญ่ตายแน่นอน ย่อยไม่ได้ ต้องทำให้มันเจือจางก่อน ค่อยเอา bacterial seed ไปลง (เพราะมันคงตายเรียบไปหมดแล้ว)
-----------
ถ้าไม่ลง seed ก็รอสักพัก แบคทีเรียมันก็ปลิวๆมาตามน้ำตามลมเองก็ได้นะ