ข่าว: เรือบรรทุกน้ำตาลล่ม ปลาซวย

http://www.thairath.co.th/content/region/175840



ขออธิบายเพิ่มเิติม

น้ำตาลละลายลงน้ำ > แบคทีเรียกินน้ำตาล > แบคทีเรียขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วเพราะอาหาร(น้ำตาล)เยอะ > และแบคทีเรียกลุ่มนี้เป็นพวกใช้ออกซิเจนเป็น e- accepter (หายใจด้วยออกซิเจน) > เป็นผลให้ ระดับออกซิเจนในน้ำลดลงอย่างมาก

  • ณ จุดที่เรือล่ม น้ำไม่เน่า เพราะแบคยังไม่โตพอ ให้คิดภาพว่า น้ำวิ่งไปเป็นก้อน
  • น้ำสะอาดก้อนที่ไหลมา เจอน้ำตาล น้ำตาลก็ละลายลงน้ำไป ให้จุดนี้เป็นระยะทางที่ 0 กิโลเมตร
  • น้ำก้อนนี้มีน้ำตาลแล้ว แบคทีเีรียที่มีอยู่แล้วก็กินน้ำตาลไป ค่อยๆเพิ่มปริมาณ อยู่ในน้ำก้อนนี้ ออกซิเจนเริ่มลดลง ตอนนี้น้ำก้อนนี้ไหลผ่านเรือไปแล้ว 4 กิโลเมตร (ระยะทางสมมติ)
  • น้ำก้อนนี้ก็ไหลไปเรื่อยๆ น้ำตาลก็ค่อยๆลดลง แต่ยังไม่หมด แบคทีเีรียก็กินไปเรือ่ย แบ่งตัวเพิ่มปริมาณไปเรื่อย และใช้ออกซิเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้น้ำก้อนนี้ไหลผ่านเรือไปแล้ว 8 กิโลเมตร (ระยะทางสมมติ)
  • น้ำก้อนนี้ก็ยังไหลต่อไป แบคทีเีรียก็ยังโตต่อไปตราบที่ยังมีน้ำตาลกิน และใช้ออกซิเจนหายใจมากขึ้นเรื่อยๆต่อไป ณ จุดนี้ ออกซิเจนในน้ำลดลง จนพวกปลาหายใจไ่ม่ออกซะแล้ว (ตอนนี้มวลน้ำ้ก้อนนี้ไหลไปอยู่ตำแหน่งไหน ปลาที่นั่นก็จะซวยไปครับ หายใจไม่ออก)
  • ตามตำราจะเรียกเหตุการณ์ลักษณะนี้ว่า Dissolved Oxygen Sag Curve
หวังว่ารอบนี้จะไม่มีนักข่าว ที่เล่าข่าวแล้วไปใส่ความเห็นส่วนตัวว่า เพราะโรงงานแถวๆที่ปลาลอยคอปล่อยน้ำเสีย จนชาวบ้านไปประท้วงจนโรงงานต้องปิดอีกนะ

Comments

ความเห็นที่ 1

อีกแล้ว 

ความเห็นที่ 2

อยู่ในห้องประชุมอุตสาหกรรมน้ำตาลตั้งแต่เที่ยง คุยเรื่องนี้มาสองคณะแล้วครับ

ความเห็นที่ 3

พี่นณณ์ ไอเดียนะ ไม่รู้ทำได้จริงหรือเปล่า
โจทย์คือ น้ำมีน้ำตาลเยอะมาก ซึ่งมันย่อยสลายง่าย ทำให้แบคกินไวโตไว กินออกซิเจนหมด

1. เพิ่มออกซิเจน โดยการผันน้ำสะอาดมาผสม หรือ ติด aerator กลางแม่น้ำสักช่วงไหวปะ เป็นการแก้ปัญหาโดยตรง เร่งกระบวนการย่อยสลายตามธรรมชาติและทำให้มีออกซิเจนเพิ่มด้วยปลาจะได้ไม่ตาย

2. ไม่น่าจะเวิร์ค ใส่แบคทีเรียไม่ใช้อากาศเข้าไป ผมปรึกษา ดร.คนอื่นอีกสองคน อาจได้อยู่บ้างแต่ข้อจำกัดคือ ถ้าในน้ำมีออกซิเจนเยอะ มันจะตาย แต่กรณีที่น้ำมีออกซิเจนมีน้อยอยู่แล้วมันก็ทำงานได้ แต่แบคทีเีรียพวกนี้ทำงานช้า ไม่เหมาะกับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า

3. ใส่สาร Oxidizer แต่มันก็ต้องคำนวณและควบคุมนะ แนะนำตัว ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ H2O2

H2O2 จะเข้าไปสลายสารอินทรีย์ในน้ำโดยตรง และตัวมันเองสลายตัวเป็นน้ำกับออกซิเจนด้วย

ข้อจำกัดคือ ตัวมันเองก็อันตราย เข้มข้นไปปลาก็ตายเหมือนกัน (ต้องเชคว่าปลาทนได้แค่ไหน) และมันก็ไม่ได้่ย่อยสลายกับน้ำตาลอย่างเดียว มันทำปฏิกิริยากับสารอินทรีย์แทบทุกอย่างในน้ำทำให้ต้องใช้ปริมาณมากกว่าที่จะคำนวณกับน้ำตาลอย่างเดียว (อาจต้องทำการทดลองก่อน)

ถ้าจะใช้ อาจใส่ลงไปตรงกลาง plume ให้ความเข้มข้นตรงนั้นมันลดลง มันจะได้เจือจางลงไปได้ง่ายขึ้น

4. ไม่น่าจะเวิร์ค ใส่พวกตัวดูดซับลงไป ประมาณว่า น้ำตาลทำให้น้ำเน่า แต่ท่อนไม้ทิ้งลงไปมันเน่ายากเพราะสลายตัวช้ากว่า  ถ้าตัวดูดซับมันดูดน้ำตาลลงไปจะได้ถ่วงเวลาการใช้ออกซิเจน เพราะออกซิเจนจากอากาศจะได้มีเวลาละลายลงไปแทน

แต่เท่าที่ผมถามๆเพื่อนดู เขาว่าพวก activated carbon มันไม่น่าจะดูดซับน้ำตาลได้ เพราะโมเลกุลมันเล็ก ผมนึกตัวอื่นๆไม่ออก


ความเห็นที่ 4

เมื่อเย็นฟังข่าวน้ำก้อนนั้นไหลมาถึงปทุมแล้ว ทางจังหวัดเร่งระดมเครื่องสูบน้ำ และเครื่องตีน้ำ เพื่อเพิ่มอ๊อกซิเจนในน้ำ และกำลังดูผลกระทบในการทำน้ำประปาด้วย

ความเห็นที่ 5

กำลังจะลองวิธีที่ 1 ครับ มีเรือบางประเภทที่ออกแบบหัวjet ให้พ่นอากาศลงไปเติมในน้ำด้วย อย่างน้อยอาจจะช่วยได้ในบริเวณที่มีปลาชุกชุมเช่น บริเวณหน้าวัด หรือบริเวณที่มีกระชังปลาหนาแน่น

ความเห็นที่ 6

ตั้งปั๊มน้ำใส่ท่อรีดให้แรงดันสูงๆ ผ่านหัวเจ็ทขนาดใหญ่ๆน่าจะพอได้นะ ส่วนหัวเจ็มก็ทำเองเลย สามทางใง
ใหญ่ ด้านบนทำช่องดักลม ถ้าไม่ดูดลมก็ลดขนาดท่อเข้ารีดเล็กลงอีกก็ดูดอากาศได้แล้ว

ความเห็นที่ 7

อ่านแล้วเสียดายครับ

http://thairecent.com/Local/2011/876087/

ความเห็นที่ 8

ขอมองต่างมุมครับ คือในความคิดของผมนะ คิดว่าลองเอาเครื่องวัดความหวานของผลไม้ไปตรวจความเข้มขนของน้ำตาลในน้ำดูสิว่า มันเิกินไปเท่าไร ปกติ ความเข้มข้นในเลือดสิ่งมีชีวิตไม่น่าจะเกิน 7% ตอนนี้ผมว่า แบคทีเรียอาจจะยังไม่ทันได้ทำอะไรมาก ความหวานที่มากเกินไปเหมือนเราถนอมอาหารโดยใช้น้ำเชื่อมที่เข้มข้นมากๆ แบคทีเรียก็ถูกหยุดเหมือนเพราะระบบออสโมซิสมันพัง เสียน้ำให้กับสิ่งแวดล้อม ผมว่ากรณีนี้ปลาและสัตว์น้ำที่ลอยหัวน่าจะมีสภาพเป็นปลาหวาน เสียน้ำออกนอกร่างกายมากไป

ปกติความเข้มข้นของน้ำตาลน่าจะลดลงเมื่อมวลน้ำเพิ่มขึ้น นั่นคือจะเจือจางลงเมื่อไหลออกไปไกลขึ้น แต่ไม่รู้ว่ามันเริ่มต้นมันจะเข้มข้นขนาดไหน ดูข่าวปลาที่ขึ้นมาส่วนมากเป็นปลาหน้าดิน ที่ผมคิดว่าโดนแจ๊คพอตสองเด้ง ดูจากน้ำเชื่อมที่ตอนเราเทใส่น้ำจืดมันจะจมลงด้านล่าง แถมอาจจะโดนพวก anerobic bacteria ผลิตมีเธนเพิ่มให้อีก อย่าคิดแก้แค่ผิวหน้าน้ำนะครับ คิดถึงน้ำด้านล่างด้วยครับ

ความเห็นที่ 9

ยังดีที่มีการแก้ปัญหากันบ้าง  นึกว่าจะเฉยๆ แล้วเจ้าของเรือก็ควรต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายด้วย  นอกจากมลภาวะในน้ำแล้ว เมื่อเช้าได้ข่าวว่ามีตลิ่งพัง ต้องย้ายบ้านหนี  และมีประกาศเป็นเขตภัยพิบัติในสามอำเภอของ อยุธยา

ความเห็นที่ 10

เจ้าของเรือและเจ้าของน้ำตาล เป็นทุกข์กันทั้งนั้นแหล่ะครับ ไม่มีใครอยากให้เกิดหรอกของแบบนี้

ปล. ไม่ใช่เรือผมน้ำตาลผมนะ เีดี๋ยวจะเข้าใจผิดกัน

ความเห็นที่ 11

ตกลง ทางนั้นได้ผันน้ำไหมมาช่วยครับ

ความเห็นที่ 12

เข้าในคลองประปา แล้วครับ ตอนนี้นั่งดู ชาวบ้านจับปลาอยู่

ความเห็นที่ 12.1

รูปวันเกิดเหตุครับ เพิ่งว่างเลยเอามาลง   ถ่ายได้น้อยครับ เพราะไม่มีใครอยากให้ถ่าย กลัวโดนตำรวจจับ  เดินเข้าไปขอดู ให้ดู  แต่พอเอากล้องออกมา เดินหนีเลยครับ
p6030814.jpg p6030818.jpg p6030816.jpg

ความเห็นที่ 13

ง่า ไม่น่าปล่อยให้เข้าคลองประปาเลยนะ
เท่าที่รู้คร่าวๆ ระบบผลิตน้ำประปามันไม่มีการกำจัดสารอินทรีย์ละลายน้ำพวกนี้โดยตรง เหมือนพวกบำบัดน้ำเสีย

แต่อาจเป็นการบำบัดโดยอ้อมก็ได้?

ความเห็นที่ 14

เพิ่งรู้วันนี้ แหละครับว่า ในคลองประปา (บางพูน รังสิต) มีปลาใหญ่ๆ มากมาย
สังเกตุจากปริมาณ ปลาที่ขึ้นฮุบน้ำ ตูมใหญ่่ มีถี่มากๆ
บางตัวขึ้นน้ำที เรียกเสียง ฮือ จากพวกจอดรถดู ได้เลยครับ

ความเห็นที่ 15

ชาวบ้านแถวๆสะพานนนทบุรีเขา--ช้อน--(เขาบอกว่าช้อนจริงๆ)มาสดๆร้อนๆเย็นวันนี้เองครับ
บ้านละ๑๐-๒๐ตัว เอามาเฉพาะใหญ่ๆ ตอนช้อนมาบางตัวก็ตายแล้ว

ความเห็นที่ 15.1

ในรูปล่างสุด ปลาสีดำที่โดนหางปลาอีกตัวบังหัวอยู่คือปลาอะไรครับ

ความเห็นที่ 15.1.1

ความเห็นที่ 16

นอกจากปลาใหญ่ๆ แล้วมีปลาที่แปลกตาน่าสนใจไหมครับ

ความเห็นที่ 17

ดูข่าวแล้วเสียดายกระเบนเจ้าพระยามาก

ความเห็นที่ 18

เซ็ง

ความเห็นที่ 19

วันนี้ข่าวว่าดูดน้ำตาลขึ้นมาเก็บหมดแล้ว ยังไงอาการก็คงดีกว่างวดที่แล้ว ที่เล่นดูดน้ำตาลทิ้งลงแม่น้ำ....

ความเห็นที่ 20


ถ้าเปรียบเทียบผลกระทบเรือน้ำตาลล่มกับแม่น้ำแล้วนี่ผมนึกถึงว่าคล้ายกับกรณีโรงานไฟฟ้านิวเคลียร์แตกที่ญี่ปุ่นเลยนะครับ
เห็นน้ำตาลเป็นของหวานแบบนี้ก็จริงแต่พอเจอกับของที่มันไม่ถูกกันเข้าแล้วจากน้ำตาลหวานๆมันก็กลายเป็นหายนะได้เหมือนกัน
อย่างนี้อาจจะมองได้ว่าที่จริงแล้วเรือน้ำตาลนี่ก็เหมือนวัตถุอันตรายในแม่น้ำเลยทีเดียว
ซึ่งการจะขนส่งควรจะยกระดับการให้ความสำคัญกับความปลอดภัยที่มากกว่าระดับปกติเช่นมีมาตรการป้องกันความหายนะในกรณีอุบัติเหตุอีกชั้นหรือสองชั้นเป็นแผนหนึ่ง สอง รองรับเผื่อไว้

อย่างในกรณีเรือน้ำตาลนี้ผมลองนึกสร้างสรรค์ฟุ้งๆไปก่อน(ในทางปฏิบัติทำได้หรือไม่ก็เป็นเรื่องของการประยุกต์ใช้)
ว่าถ้านำตาลที่ขนไปบนเรือมันมีถุงพลาสติกเหนียวๆครอบไว้ถึงเรือจะล่มยังไงน้ำตาลก็คงไม่ไหลออกมาละลายลงสู่แม่น้ำได้แน่
อีกทั้งการเก็บกู้ก็ทำได้ง่ายแค่หยิบถุงน้ำตาลขึ้นมาทีเดียวเสร็จความเสียหายต่อสินค้าน้ำตาลและความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมก็น้อยมากเพราะแทบจะไม่มีน้ำตาลหลุดออกไปเลย

อุบัติเหตุเป็นเรื่องที่ใครๆก็ไม่อยากให้เกิดจริงๆครับ แต่ถ้าเราระวังป้องกันกับมันมากขึ้นเหตุร้ายความรุนแรงก็ลดไปได้มากขึ้นเช่นกัน :)

เสียดายปู่ปลาทวดปลาจริงๆครับ ใหญ่เบิ้มมาก

ความเห็นที่ 21

ปลาจีนครับคุณต้ล ความจริงปลาเล็กๆน่าสนใจมากแต่ผมไม่ทันได้ไปดูไปช้อนกับเขา อาจเจอหางไหม้สักตัว  แหะ แหะ จังหวะนั้นชาวบ้านไม่สนตัวเล็กๆแล้ว เช้าวันนี้ปลาในแม่นำเริ่มกินอาหารที่ให้ไปบ้างแล้วถึงแม้จำนวนจะลดลง(ฝูงสังกะวาด+ปลาเกล็ดน้อยใหญ่หายเรียบ)หวังว่าคงแค่อพยพหนีภัยไปเท่านั้นนะครับ

ความเห็นที่ 22

เน่าๆ เอามาฝาก
เน่าแล้ว p6030824.jpg p6030826.jpg หมูอะไรครับ

ความเห็นที่ 23

ดูใน fb มีรุ่นพี่ผมโพสต์ข่าวว่าปลากระเบนราหูตั้วเขื่องตายไปแล้ว 4 ตัวจากผลกระทบครั้งนี้ครับ

ความเห็นที่ 24

มีข่าวเสือตอขนาดใหญ่ ขึ้นมาหนึ่งตัว ยังมีชีวิตอยู่ครับ!

ความเห็นที่ 24.1

เป็นข่าวดี ในข่าวร้าย ครับ

ความเห็นที่ 25

ไอ่เราก็ลุ้นเจอหางไหม้ไทยบ้าง

ความเห็นที่ 26

เห็นมีตามินด้วยนิ

ว่าแต่ว่าเจอพวกตะเพียนสั้นเยอะไหมครับ

ความเห็นที่ 27

งั้นก็แปลว่า จุดที่ออกซิเจนลดลงจนปลาหายใจไม่ออก เป็นจุดที่น้ำตาลถูกย่อยสลายไปจนแทบไม่เหลือแล้ว ใช่ไหมครับ?
(นึกว่าจะได้กินปลาหวาน โฮ่ะๆๆ)

ความเห็นที่ 27.1

ไม่ใช่ครับ ไม่ได้แปลว่าน้ำตาลสลายไปหมดแล้ว เพียงแต่ออกซิเจนที่แบคมีเรียจะใช้หายใจมันหมดแล้ว  เพราะแบคทีเีรียมันเยอะเหลือเกิน (เพราะอาหาร(น้ำตาล)มันเยอะ)

น้ำตาลอาจจะยังเหลือหรือไม่ ไม่สามารถบอกได้ครับ ต้องนำน้ำไปตรวจวัดพารามิเตอร์อื่นครับ

ความเห็นที่ 28

หน้าสงสารปลา กว่าจะกลับมาเหมือนเดิมได้คงนาน แต่ยังดีที่มีฝนตกหนักๆ ไล่เอาน้ำเสีย(หวาน)ไปได้มาก

ความเห็นที่ 29


เห็นในข่าวน้ำตาลตั้ง ๒,๔๐๐ ตัน ทีแรกนึกว่าดูผิดดูใหม่ตั้งหลายรอบ
น้ำตาล ๒,๔๐๐,๐๐๐ กิโลกรัม นึกภาพมันมหาศาลจริงๆ เขาขนกันทีละเยอะขนาดนี้เลย
พอเรือล่มลำนึงมันก็ลากลำอื่นตามลงน้ำไปด้วยงั้นรึเปล่าครับ

ความเห็นที่ 30

น้อยนิดครับต้ล น้ำตาลผ่านเส้นทางเจ้าพระยาตอนกลางปีหนึ่งเป็น ล้านตันครับ 1,000,000,000 กิโล เลยเชียว