“ความรัก = ความตาย”
เรื่อง: อุเทน ภุมรินทร์
ภาพของนกกระเต็นอกขาวสองแม่ ลูก ซึ่งเกาะอยู่บนกิ่งใหญ่ของต้นจามจุรี กิ่งใบแผ่ปกคลุมเหนือบ่อน้ำ ลูกนกยังผลัดขนไม่สดใสเท่ากับแม่ของเธอ ในจังหวะที่แม่นกพุ่งตัวลงกลางน้ำ แล้วโผบินขึ้นมาพร้อมปลาโชคร้ายในปาก เรารู้ได้ทันทีว่า แม่กำลังสอนบทเรียน สำหรับการดำรงชีวิตให้กับเจ้าตัวเล็ก การจับปลาเป็นอาหาร อันเป็น ‘วิชาชีพ’ ของเหล่านกกระเต็น ราชานักตกปลา (Kingfisher) ที่มาพร้อมกับหน้าที่คอยควบคุมปริมาณสัตว์น้ำทั้งปลา กุ้ง ปูให้มีจำนวนไม่มากจนเกินไปในแหล่งน้ำทั่วไทย
ภาพ ที่เห็นตรงหน้า ต่างกันโดยสิ้นเชิง ชนิดหน้ามือกับหลังเท้า เมื่ออีกภาพหนึ่งได้ปรากฏขึ้น ภาพของนกกระเต็นอกขาวชนิดเดียวกัน ดิ้นรนอย่างสุดแรงที่ชีวิตนี้ของเธอพึงจะมี ใช้ปากตรงยาว คู่นั้น แทงสอดตามช่องซี่กรง เพื่อหาทางออกจากกรงแคบ บนรถสามล้อซาเล้ง ของคู่ผัวเมีย ที่คงอาจไปพบเธอเข้าในขณะกำลังเก็บกู้ตาข่ายดักปลา หรือจงใจดักนกอย่างพวกเธอ เพื่อส่งเสนอตลาดกับพ่อค้าที่มารับซื้ออีกต่อ ก็สุดจะคาดเดาได้
ย้อน กลับไปก่อนเวลานาทีนั้น ในขณะที่เธอกำลังบินย้ายที่เกาะไปยังไม้หลักที่ปักอีกหนองบึงกลางท้องนา ก่อนจะถึงไม้หลักกลางบึงข้างหน้า เธอชนเข้าอย่างจังกับเชือกเหนียวที่เธอไม่สามารถบินผ่านไปได้ ยิ่งเธอใช้ความพยายามมากเท่าใด เส้นเชือกมรณะนี้ ยิ่งบาดรัดตัวเธอ มากขึ้นเท่านั้น ปีกกว้างของเธอถูกรัดแน่นจนที่หัวไหล่เริ่มเจ็บชา หัวและปากถูกรัดด้วยเชือกตาข่าย จนเธอหายใจไม่ถนัดและทรมาน
ใน ความพร่าเลือน เธอเห็นคนเดินตรงมายังตาข่ายที่รัดตัวเธออยู่ เธอร้องขอความช่วยเหลืออย่างสุดเสียงเท่าที่มี แต่ทว่า เธอพลันเงียบไปทันที เมื่อสายตามองไปเห็นกรงเหล็กในมือของชายคนนั้นที่หิ้วติดมือมาด้วย ตาข่ายที่กางกั้น ไม่ได้กั้นขวางเพื่อป้องกันผลผลิตในแปลงนาของชาวนาแต่อย่างใด แต่มันคือ ความจงใจ ที่เป็น ‘กับดัก’ เพื่อสนองความต้องการของคนซื้อชีวิตเหล่านี้ ที่พวกเขา เรียกว่า ‘รัก’ บนความตายของเธอและผองเพื่อนอย่างช้าๆ
ถ้าความรักที่มอบให้ ทำลายชีวิตที่เรารัก เรายังกล้า เรียกสิ่งนั้นว่า ‘รัก’ ได้เต็มปากกันอีกเหรอ?
ร่าง ในชุดขนของเธอยับเยิน ถูกส่งเปลี่ยนมือหลายครั้ง มาในกรงแคบนั้น จนสุดท้ายร่างอันอ่อนล้า ที่ไม่ได้กินอะไรเลยของเธอ ถูกนำใส่กรงมาวางไว้กลางลาน แดดเที่ยงของวันแผดเผา ที่นี่ที่ไหนกัน?
ฝุ่น ละอองฟุ้งไปทั่วบริเวณ ที่เกิดจากคนจำนวนมากที่เดินผ่านไปมา จนม่านตาของเธอหรี่มัว มองไปรอบๆ เธอถึงกับตื่นตกใจ ไม่ใช่เธอเพียงตัวเดียวที่ถูกส่งมายังที่แห่งนี้ มีเพื่อนนกอีกหลายชนิดที่เธอเคยพบกันบ้างในท้องทุ่ง ท้องนา ทั้งลุงนกฮูกตาโต ที่มักบินสวนกันตอนเย็นค่ำ ช่วงที่เธอจะเข้านอน แต่ลุงนกฮูกนั้น เพิ่งตื่นเพื่อไปหาอาหาร เพราะลุงเป็นนกหากินกลางคืน พี่นกกระปูดใหญ่ ที่ลำตัวมีสีแดงเพลิงกับสีดำตัดกัน ที่ชอบร้อง “ปูดๆ ๆ” คอย กินสัตว์ตัวเล็กๆ บนพื้นดินอย่างไม่เลือก ก็ถูกขังในกรง ที่ปากของพี่นกกระปูด เกรอะกรังไปด้วยเลือดแห้งที่คงเกิดจากการดันทุรังหาทางออก โชคร้ายไปกว่านั้น ในลังกล่องกระดาษ เด็กน้อยทั้งสี่ชีวิต ซึ่งเธอรู้ทันทีว่า ตัวกลมๆ ขนสีเทานวลคลุมยังไม่ทั่วตัว คือ ลูกนกเค้าจุด เด็กน้อยทั้งหลายถูกพรากจากพ่อแม่ในขณะที่นอนนิ่งในโพรงรัง
เจ้ากระเต็นเคยรับรู้มาจากคุณลุงของเธอบ้างเหมือนกัน ว่าคนมักจับนกไปเลี้ยง โดยเฉพาะนกที่เพิ่งแรกเกิดเป็นลูกนก ซึ่งคนขาย เรียกว่า ‘ลูกป้อน’ มักถูกเสนอให้ลูกค้าพร้อมสำทับว่า “หากซื้อไปเลี้ยงตั้งแต่ตอนเล็กๆ นกเหล่านี้จะเชื่องได้ง่าย” กลับ กันเมื่อการเลี้ยงไม่ถูกวิธี นกหลายตัวในกรงขัง กลายเป็นนกพิการ โดยเฉพาะนกล่าเหยื่อ อย่างกลุ่มนกเหยี่ยวหรือนกเค้าแมว ซึ่งต้องการแคลเซียมจากอาหารที่กินเข้าไป บางตัวจึงไม่มีแรงยืน ต้องนอนทับแข้งขาของตัวเอง อกติดพื้นกรง ไปจนตาย
ถัด ออกไปอีกกรง นกขนาดเท่ากับเพื่อนนกเอี้ยงที่เคยเล่นกันในท้องนา แต่เจ้าตัวนี้ มีลำตัวสีเหลืองสด สีปากออกส้มแดง เธอพยายามนึกแล้วก็จำได้ว่า เคยพบพวกเขาบ่อยๆ ในช่วงฤดูหนาว ทั้งสองตัวถูกขังรวมกันในกรงเดียว สภาพแต่ละตัวอิดโรย
“เธอจ๋า เธอถูกจับมาจากไหนเหรอ?” เจ้ากระเต็น ถามด้วยเสียงแหบพร่า
“เรา เพิ่งเดินทางมาถึงเมืองไทย เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนจ้ะ บ้านเกิดที่เราอาศัยอยู่นั้น เข้าสู่ช่วงฤดูหนาว ซึ่งทำให้เราขาดแคลนอาหาร เราจำเป็นต้องเดินทางอพยพมาหากินยังที่เมืองไทย ในช่วงตั้งแต่ต้นเดือนกันยายน จนพ้นฤดูหนาว เราถึงได้เดินทางกลับไปสร้างครอบครัวที่บ้านเกิด”
เพียง เริ่มต้นทำงานกำจัดหนอน แมลงให้กับชาวไร่ชาวสวน เราทั้งหมดกลับถูกตอบแทนโดยการจับเรามาวางขายแลกกับเงิน เป็นสินค้ามีชีวิต ที่คนจับไม่ได้ลงทุนอะไรเลย
“อย่างลูกของเรา” เจ้า ขมิ้นท้ายทอยดำ ตัวโตสุดพยายามยกปีกที่ขนหลุดหลุ่ย ชี้ไปยังขมิ้นตัวย่อมกว่า ที่บริเวณหน้าอก มีขนเป็นลายขีดสีดำแซมบน ซึ่งบอกให้รู้ว่า เจ้าหนูยังไม่โตเต็มวัย
“สงสารก็แต่ลูกของเรา ที่ยังไม่ทันได้เรียนรู้ ได้ทำหน้าที่ในธรรมชาติ และ....” แม่นกขมิ้น สะอื้นเสียงสั่น “เจ้าหนู ไม่มีโอกาสได้เดินทางกลับบ้านอีกแล้ว”
พูด คุยกันได้เพียงเท่านี้ มือหนาอวบสอดลอดเข้ามาทางช่องเปิดกรง เล็บทั้งห้าทาด้วยน้ำยาสีสวยสด บนนิ้วอูมของแม่ค้าประดับสวมด้วยแหวนทองสองวงใหญ่ ที่ราคาของมันคงแลกมาจากชีวิตของนกในธรรมชาติ ชีวิตแล้วชีวิตเล่า นับไม่ถ้วน
แม่นกขมิ้น ถูกจับออกไปจากกรง เธอส่งเสียงร้อง “แคร่กๆ” อย่างสุดเสียง
“ตัวนี้ ใช่ไหมจ้ะ หนู?”
แม่ ค้าถามเสียงหวานกับลูกค้าสาววัยรุ่นในชุดแต่งกายทันเทรนด์ กางเกงขารัดรัดรูป เสื้อกล้ามเว้าลึกจนเห็นร่องหน้าอก ที่มาพร้อมด้วยกันกับแฟนหนุ่มของเธอ
“ซื้อให้เขาน่ะ ตัวเอง เราชอบ อยากได้น่ะ เลี้ยงไว้ในห้องเราไง” เสียง หญิงสาวออดอ้อนกับชายหนุ่มของเธอ ในวันเกิด วันวาเลนไทน์ ฯลฯ วันสำคัญใดๆ ก็ตาม มีไม่น้อยครั้งที่สินค้าอย่างนกในธรรมชาติอย่างเธอ กลายเป็นสินค้าของขวัญที่มีชีวิต
ร่าง ของแม่นกขมิ้นท้ายทอยดำ ถูกจับยัดใส่ลงในกล่องกระดาษที่เดิมเคยเป็นกล่องแพ็คนมกล่องจำนวน 6 กล่อง ได้กลายสภาพมาเป็นกล่องขนส่งสินค้า ทุกด้านของกล่องจะปิดทึบ มีช่องที่เจาะไว้ประมาณ 2-3 ช่อง เพื่อให้นกในกล่องได้หายใจบ้างก็เท่านั้น
หญิงสาวยื่นเงิน 300 บาทให้กับแม่ค้า เป็นราคาค่าตัวสินค้า ที่ซื้อชีวิตเหล่านี้จากธรรมชาติ
ละ จากลูกค้าคู่นั้น มีคนเดินชมสินค้าอย่างพวกเธอเต็มไปหมด บางคนยืนออมุงดู บางคนสนใจ ต่อรองราคา ลูกค้าชายร่างท้วมคนหนึ่ง ในชุดแต่งกายดูภูมิฐาน กางเกงขายาว รองเท้าหนังขัดมัน สวมหมวกปีกแคบกรอมสายตาของเขาไว้ใต้เงาหมวกนั้น
“คู่มือดูนก!” เจ้านกกระเต็น อุทานออกมา เธอเคยเห็นคู่มือดูนกเมืองไทยนี้ ในมือของกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า ‘นักดูนก’ ใช้ กล้องอุปกรณ์ส่องดูความงามและพฤติกรรมของพวกเธอและผองเพื่อน โดยใช้คู่มือนี้ เป็นสิ่งแสดงรายละเอียดของพวกนกอย่างเธอ แต่ในวันนี้ บนมือของแม่ค้า และชายนักซื้อขายจอมโลภ มันกลายเป็นแคตตาล็อกที่สามารถชี้สั่งสินค้า เรียกได้ว่า สามารถจัดหานกที่ต้องการมาให้ได้อย่างแน่นอน แม้ว่า นกชนิดนั้น จะเหลือจำนวนไม่มากแล้วในธรรมชาติก็ตาม
แล้ว คิวของเธอก็เดินทางมาถึง เช่นเดียวกับแม่นกขมิ้นท้ายทอยดำ เธอถูกจับยัดใส่ในกล่องกระดาษ อยากจะดิ้นรนขัดขืนแต่ปีกกล้าก็ไร้เรี่ยวแรง รู้เพียงแต่ว่า อีกไม่นาน ความตายคงเดินทางมาถึงเธอ
ใน วันที่การคุกคามชีวิตในธรรมชาติ ยังไม่มีวี่แววว่าจะสิ้นสุดลงง่ายๆ ผมนึกถึงภาพนกกระเต็นอกขาวแม่ลูกคู่นั้น จะมีนกในธรรมชาติสักกี่ตัวกัน ที่จะเหลือรอดเป็นนกโตเต็มวัย ได้สืบทอดเผ่าพันธุ์ ถ่ายทอดวิถีของบรรพบุรุษเพื่อทำหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศ ให้กับทายาทของพวกมัน
หรืออีกไม่กี่ปีข้างหน้า ฝันร้ายของใครหลายคนอาจเป็นจริง นกหายากในธรรมชาติ คงเหลือแต่ในกรง ไม่แน่ หากมีใคร คิดทำ “คู่มือ แนะนำสถานที่ดูนก”
‘จตุจักร พลาซ่า’ อาจเป็นชื่ออันดับแรกในเล่มนั้น ที่ซึ่งนกหายาก แออัดยัดเยียด รอความตาย อยู่ในกรง!
Comments
ความคิดเห็น
ความเห็นที่ 1
ความเห็นที่ 2
ความเห็นที่ 3
อ่านแล้วแทบจะร้องไห้
ธรรมชาติถูกคุกคามจนน่าหวั่นใจ
คุณค่าทางธรรมชาติถูกเปลี่ยนสภาพไปเป็นเงินทอง
เมื่อไหร่คนเราจะรู้คุณค่าของสิ่งที่มีอยู่กัน
ความเห็นที่ 4
ธรรมชาติมีคุณต่อเรา ยังไม่เห็นคุณค่าเลย มีแต่จะเหยียบย้ำและกอบโกยทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมา ไม่ได้สร้างเพื่อมนุษย์เพียงอย่างเดียว แต่สร้างให้ทุกชุีวิตได้อยู่ร่วมกัน โดยอาศัยแอบอิงจากธรรมชาติ เพียงแค่เป็น ปัจจัยสี่ ไม่ใช่เป็นปัจจัยที่ ห้า หก เจ็ด ดังเช่นในปัจจุบัน
" มีคนถามว่า เมื่อไหร่คนจะเห็นคุณค่าของธรรมชาติ คงตอบได้คำเดียวว่า ถ้าไม่มีธรรมชาติอยู่แล้ว คนก็คงจะสำนึกได้ ว่าได้ทำร้ายอีกหลายชีวิตเช่นกัน"
อย่ารอให้ วันที่เหลือเพียงคำ ว่า ธรรมชาติ ไว้ให้ลูกหลานถามหา
มาช่วยกัน ดูแลธรรมชาติ อันเป็นชีวิตของอีกหลายชวิต ด้วยกัน
ความเห็นที่ 5
ความเห็นที่ 6
T.T