พิทักษ์ไพร (ภัย)
เรื่อง: อุเทน ภุมรินทร์, ภาพ: อัครวัช สมไกรสีห์
“ครึ่ม” เสียงสิ่งก่อสร้างตึกสูงกลางเมืองกรุงล้มครืน ควันไฟที่เกิดจากการระเบิดและไฟฟ้าลัดวงจรของตัวอาคารลอยปกคลุมไปทั่ว เสียงผู้คนกรีดร้องพาลูกเล็กเด็กน้อยหนีตายโกลาหล ร่างยักษ์ของสัตว์ประหลาด ไม่สิ, มันคือลิงยักษ์ตัวหนึ่งที่ไม่รู้หลุดมาจากป่าไหนหรือสวนสัตว์ใด ถ้าคุณนึกไม่ออก จำภาพยนตร์อย่าง “King Kong” ได้ไหม? แบบนั้นเลย เพียงแต่ว่า นี้ไม่ใช่การจัดฉาก ถ่ายทำภาคต่อของภาพยนตร์เรื่องนี้ ไม่มีตัวแสดงแทน แล้วก็ไม่มีนางเอกสาวสวยอย่างในเรื่องที่ลิงป่าหลงรัก ซึ่งจะหยุดมันได้ ฟังอีกครั้ง นี่คือ เรื่องจริง
หน่วยรบของทหารจากทุกเหล่าทัพ ที่ว่าแข็งแกร่ง ถูกเรียกมาประจำการยังจุดนี้ทั้งหมด เพียงแต่เครื่องบินรบหลายลำ ถูกมันตบร่วงระเบิดย่อยยับไปไม่น้อย รถถังถูกมันเอานิ้วอุดรูก่อนที่จะยิงกระสุนออกไป แล้วจับขว้างราวกับเหวี่ยงไม้เบสบอลยังไงยังงั้น ปราการของกองทัพเริ่มแตกยับไม่เป็นท่า เมื่อเจ้าลิงป่ากำลังเดินหน้าใกล้เข้ามา ก่อนที่อะไรจะสายเกินไปกว่านี้ ทันใดนั้นเอง เมื่อแสงตะวันส่องลอดผ่านม่านควันไฟออกมา ส่องกระทบกับร่างของชายในชุดลายพรางทหาร เอ๊ะ! ไม่ใช่สิ ชุดลายพรางของป่าไม้ทะมัดทะแมง วัยของเขาน่าจะใกล้เกษียณอายุในอีกไม่นาน ผิวคล้ำ หน้ากร้านราวกำงานหนักมาทั้งชีวิต ในมือทั้งสองของเขากระชับปืนลูกซอง ก่อนที่เจ้าลิงยักษ์นั้น จะรู้ตัว ชายป่าไม้ ยกปืนประทับบ่าส่งลูกปืนไปยังจุดต้นคอ ซึ่งเป็นตำแหน่งของเส้นเลือดใหญ่ ไม่นานเกินรอ ร่างของลิงป่า ค่อยๆ ทรุดเข่านั่งลงกับพื้นถนน และผ่อยหลับตาไปในที่สุด อ่อ! พอมองดูใกล้ๆ แล้ว ปืนที่ลุงป่าไม้ใช้เป็นปืนยิงยาสลบ หากเป็นปืนลูกซองคงเอามันไม่อยู่ และคงกวนให้มันบ้าเลือดหนักกว่าเดิม
แน่นอนว่า หลังจากที่เหตุการณ์เข้าสู่ความสงบ ชายพิทักษ์ป่ากลายเป็นฮีโร่ในชั่วข้ามคืน ชุดป่าไม้เป็นชุดที่ขายดีไม่แพ้ชุดฮีโร่อื่นๆ อย่าง มนุษย์อุลตร้าแมน หรือแบทแมน ห้างสรรพสินค้าหลายแห่งได้โอกาส จัดบรรยากาศในห้าง คล้ายป่าดงดิบ ต้นไม้ปลอมถูกนำมาวางเขียวชอุ่ม ราวกับสดุดีวีรกรรมของชายป่าไม้และส่งเสริมสินค้าของแต่ละห้างไปในตัว
ช่วงนั้น รายการทีวีหรือโทรทัศน์ช่องไหนยังไม่ได้เชิญลุงพิทักษ์ป่าไปออกรายการหรือไปเยือนช่องของตนสักครั้ง ก็ดูจะน้อยหน้าช่องอื่นๆ ไป เรื่องราวทรัพยากรป่าไม้ได้รับความสนใจในวงกว้าง ไม่ว่ารายการถึงลูกถึงคน ที่นี่หมอชิต ตีสิบ แม้แต่ชิงร้อยชิงล้าน คุณลุงยังถูกเชิญไปร่วมเล่นเกมส์กับแก๊งสามช่ามาแล้ว
เอ่ยมาถึงตรงนี้ เลยวันเวลาที่ลิงยักษ์ออกอาละวาดมาเกือบเดือน เป็นอย่างที่เราคาดเดาได้ ไม่มีหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ หรือแม้แต่ใครที่ไหนพูดถึงเรื่องป่าไม้อีกแล้ว ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาวะเดิม กระแสสังคมไม่มีเวลาพอ สำหรับสนใจเรื่องราวของชายพิทักษ์ป่าอีกต่อไป
ถึงเรื่องที่กล่าวมาทั้งหมดจะเป็นเรื่องแต่ง แต่เรื่องที่เป็นความจริงอยู่ตลอด ก็คือว่า ชีวิตของผู้พิทักษ์ไพร ยังไม่ได้รับการเหลียวแลเท่าที่ควร พวกเขาต้องทำหน้าที่ด้วยงบประมาณอันจำกัดและอุปกรณ์บางส่วนต้องจัดหามาจากเงินเดือนของตนเอง ที่อาจไม่ถึงครึ่งของเงินที่เด็กนักศึกษามหา’ลัยในกรุงเทพฯ ใช้จ่ายกันแต่ละเดือน พวกเขาอยู่ได้อย่างไรน่ะหรือ? ผมยังไม่ขอตอบในบรรทัดนี้ ฟังเรื่องราวของพวกเขาเหล่าผู้พิทักษ์ แล้วคุณอาจรับรู้อะไรอีกมาก
.....................................
“ควรเปลี่ยนตั้งแต่เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว”
พี่ใจ ชายพิทักษ์ป่าวัยกลางคนพูดถึงหลังคาอาคารที่พักของเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าอีกหลังถัดออกไป ที่ขณะนี้ เหลือแต่ไม้โครงคานกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างไม่มีที่ท่าว่าจะหยุดเอาง่ายๆ อาคารบ้านพักจะเปลี่ยนเป็นมุงหลังคากระเบื้องจากสังกะสีที่เก่าคร่ำครา ควรเปลี่ยนตั้งแต่เมื่อยี่สิบปีก่อน เป็นคำพูดที่บรรยายถึงสภาพตัวอาคารได้เป็นอย่างดี
“เปลี่ยนพร้อมกันสองหลังไม่ได้ เดี๋ยวไม่มีที่อยู่”
พี่ใจบอกกับเรายิ้มๆ ในอาคารอีกหลังที่เรานั่งคุยกันหลบสายฝนอยู่ตอนนี้ ขณะที่พี่สมศักดิ์ พนักงานพิทักษ์ป่าซึ่งทำหน้าที่เป็นหัวหน้าหน่วยพิทักษ์ป่าแม่ปลาสร้อยแห่งนี้ กับพี่พิทักษ์ป่าอีกคนกำลังใช้เท้ากวาดน้ำฝนที่ขังเอ่อบนพื้นปูนหน้าบ้านลงไปที่พื้นดิน เนื่องด้วยสังกะสีที่เป็นหลังคาตรงนั้นไม่มี
“คุยกันยาวเลยแหล่ะ ถ้าคุยกันเรื่องพวกนี้”
บทสนทนาพาให้ผมซักถามเรื่องราวที่อยากรู้ ตลอดเวลาผมคิดอย่างที่ใครได้รับฟังก็คงนึกคิดไม่ต่างกันว่า เขาทำงานไปได้อย่างไรในภายใต้สภาวะอันจำกัดจำเกี่ยเช่นนี้
“ทั้งหน่วยมีปืนลูกซองอยู่กระบอกเดียว มีลูกอยู่สี่ลูกด้วย ไม่ครบห้านัดอีกต่างหาก”
“ลูกหนึ่ง ก็ราคายี่สิบกว่าบาท ซื้อเองทั้งนั้นแหล่ะ” คือคำตอบเมื่อผมถามถึงอาวุธปืนที่ใช้ในการลาดตะเวนรักษาทรัพยากรธรมชาติของพวกเรา – คนไทยทั้งประเทศ
“รถนี้ก็รถผมเองน่ะ น้ำมันก็ออกเอง ไว้วิ่งใช้งาน ไม่งั้นก็ไม่มี”
พี่สมศักดิ์หัวหน้าหน่วยฯ ชี้ไปยังรถกระบะแคปเดียวที่จอดตากฝนอยู่หน้าอาคาร ไม่ใช่ที่นี่ที่เดียว เกือบทุกป่าอนุรักษ์ของประเทศไทย ผู้พิทักษ์ทั้งหลายยังต้องรับภาระค่าใช้จ่ายพวกนี้เอง ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำงาน ซึ่งหมายความว่า เงินเดือนของเจ้าหน้าที่ที่ได้รับต้องถูกลดทอนจากค่าใช้จ่ายเหล่านี้ ค่าแรงในอัตราลูกจ้างชั่วคราวได้รับคือ 4,150 บาทต่อเดือน
ค่าแรงที่ใช้จ่ายด้วยการเอาแรงใจและกายเข้าแลกในการทำงาน การเดินลาดตะเวนรักษาไพร ในช่วงฤดูฝน ผจญกับน้ำป่าและฝูงทาก หน้าแล้งเนื้อตัวคันคะเย่อไปด้วยตุ่มเห็บ บางทีเผชิญกับอากาศหนาวเย็น และสุดท้ายคือ ความตาย ที่โชคดีก็อาจพิกลพิการ เมื่อไปขัดขวางผู้ที่จ้องทำลายชีวิตในป่าที่พวกเขารักษา ปืนลูกซองในมือที่ลูกปืนติดขัดมากกว่ายิงออก จะไปเทียบทันอะไรกับอาวุธดีๆ ของพรานที่บางหนได้รับสนับสนุนจากนายทุน สิ้นลมหายใจของผู้พิทักษ์ไป อย่างดีก็ได้สลักชื่อไว้บนเสาไม้อนุสาวรีย์ที่ไหนสักแห่ง อาจที่หน้ากรมอุทยานฯ หรือสำนักงานเขตฯ เท่านั้นเอง
“พอไม้ไผ่ หรือของป่าเล็ดลอดออกไป เราก็ถูกกล่าวหาว่า ไม่ยอมทำงานบ้าง มีนอกมีในบ้าง แต่ในป่าส่วนใหญ่ที่ยังคงอยู่กลับไม่มีคนมองว่า เป็นผลงานของเรา ไม่เคยมีใครมามองเห็น” หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ บอกกับลูกน้องที่นั่งอยู่ตรงหน้าอย่างนี้ ด้วยสร้างความภูมิใจและเติมไฟในการทำหน้าที่ของผู้พิทักษ์ คือสิ่งที่หัวหน้าใส่ใจ
“ปัญหาการตัดไม้ การขนหิน ต่างๆ เหล่านี้ ไม่ใช่ปัญหาเราฝ่ายเดียว ป่าไม่ใช่ของเราคนเดียว แก้ไม่ได้ ทำอะไรคนกระทำผิดไม่ได้ เพราะเราอาจอยู่ในพื้นที่ไม่ได้ หากไปจับเขา คุณก็รายงานขึ้นมา ถ้าผมแก้ให้ไม่ได้ เรื่องนี้ก็ต้องว่ากันไปตามลำดับ ส่งทอดขึ้นไปเป็นการแก้ปัญหาระดับจังหวัด ที่ต้องเข้ามาพัฒนาอาชีพให้ชาวบ้านทำอย่างอื่นหรือทำอย่างไรให้พึ่งพิงป่าน้อยลง” ในวันรายงานผลการตะเวนเชิงคุณภาพประจำเดือนที่สำนักงานเขตฯ สลักพระ ปัญหาและปัจจัยคุกคาม รวมถึงความลำบากใจในการทำหน้าที่ ถูกส่งต่อให้กับหัวหน้าในการแก้ไขต่อไป
“รายงานการลาดตะเวนของเรา ส่งเข้ากรมอุทยานแห่งชาติฯ และองค์กรอนุรักษ์เอกชนที่เข้ามาสนับสนุนด้วย ดังนั้น ต่อไปนี้ คนในเมืองที่นอนในห้องแอร์ จะได้รู้ถึงการทำงานของพวกเราที่กินนอนกันในป่า ซึ่งคอยพิทักษ์ทรัพยากรของพวกเขาทุกคนเอาไว้”
หัวหน้าเขตฯ กล่าวทิ้งท้าย ฉายภาพการงานแห่งชีวิตของเหล่าผู้พิทักษ์ไพร ที่ชีวิตนี้มีไว้ เพื่อชีวิตอื่นในผืนพนา
Comments
ความคิดเห็น
ความเห็นที่ 1
ผมชอบจัง เรื่องที่แต่งขึ้นข้างบน พออ่านปุ๊ป ผมก็นึกถึงสืบมาทันที
สิ้นพี่สืบไป ตีความหมายได้หลายแง่ แต่ทว่า เมื่อสิ้นสืบไปแล้ว
ก็มีคนหันมาให้ความสนใจเพียงชั่วพักชั่วครู่ แล้วก็เลือนหายไป
ตอนนี้ยังคงมีการจัดงานเพื่อระลึกสืบอยู่บ้าง แต่ว่า จะมีสักกี่คนกันที่ไปงานด้วยใจจริง
ด้วยใจที่รักษ์ที่จะปกป้องป่าผืนนี้ แล้วคนอื่นๆที่ได้สละชีพเพื่อพวกเราล่ะ ก็เป็นแค่ชื่อ
ที่รู้จักกันในวงแคบ ผมอยากให้ทุกคนมีใจที่จะมาอนุรักษ์กันจริงๆสักที
ถึงแม้ว่าจะเป็นกลุ่มเล็กๆ ก็ยังดีกว่าไม่มีใครทำเลย จริงมั้ย?
ความเห็นที่ 2
ดีครับจริงใจดี
ความเห็นที่ 3
อ่านแล้วเศร้าแต่ก็สะท้อนความเป็นจริงของคนทำงานด้านอนุรักษ์ในบ้านเมืองเรา...
คนทำก็ทำด้วยใจรัก
ในขณะที่กระแสสังคมเป็นไปเพียงหวือหวาตามกระแสนิยมแล้วก็เลือนหายไปเหมือนไฟไหม้ฟาง
เมื่อไหร่บ้านเราจะเห็นค่าของทรัพยากรธรรมชาติที่มีนะ??
ความเห็นที่ 4
อ่านแล้วเศร้าแต่ก็สะท้อนความเป็นจริงของคนทำงานด้านอนุรักษ์ในบ้านเมืองเรา...
คนทำก็ทำด้วยใจรัก
ในขณะที่กระแสสังคมเป็นไปเพียงหวือหวาตามกระแสนิยมแล้วก็เลือนหายไปเหมือนไฟไหม้ฟาง
เมื่อไหร่บ้านเราจะเห็นค่าของทรัพยากรธรรมชาติที่มีนะ??
ความเห็นที่ 5
เป็นเพียงแค่กลุ่มคนกลุ่มเล็กๆ ที่สละตัวเอง สละสินทรัพย์ส่วนตัว มาเพื่อรักษาและดูแลผืนป่าซึ่งเป็นของคนทั้งประเทศ... สิ้นลมหายใจของผู้พิทักษ์ไป อย่างดีก็ได้สลักชื่อไว้บนเสาไม้อนุสาวรีย์ที่ไหนสักแห่ง... ประโยคนี้ทุกคนฟังแล้วรู้สึกอย่างไรคะ?
ความเห็นที่ 6
อยากให้กรมฯดูแลกลุ่มคนเหล่านี้ให้มากกว่านี้ เพราะิสิ่งที่พวกเขาปกป้องแทนคนไทยอยู่สำคัญเหลือเกิน
ความเห็นที่ 7
เรื่องเศร้า ที่เป็นเรื่องจริง ถ้าประเทศเรามีรายการดีดีมากขึ้น ลดละครน้ำเน่าลง รายการดารา แน่นอนเรื่องสิ่งแวดล้อมก็ไม่ใช่เรื่องใกล้ตัวแน่ ตอนนี้ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่คนเริ่มตื่นตัวเรื่องโลกร้อนขึ้นมาบ้าง การที่จะทำให้คนที่ไม่เคยคิดจะสำนึกถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อมนะมันยาก แต่เราไม่ควรจะหยุดทำ ยิ่งโลกมีภัยพิบัติมากขึ้น คนก็เริ่มสนใจในสิ่งแวดล้อมมากขึ้น(มันคงไม่สายเกินไปมั่งเมื่อถึงเวลานั้น)
มันอาจเป็นเรื่องหวือหวาแต่มันก็อาจไปกระตุ้นให้ใครหายคนได้คิดและลงมือทำอย่างจริงจังขึ้นมาบ้าง เหมือนที่พี่สืบเคยทำได้ เคยทำให้หลายคนคิดได้ และลงมือทำแล้ว
ถ้าเราทำได้เราอยากให้รัฐบาลให้เงินสนับสนุนด้านนี้เยอะกว่านี้หน่อยนะ ทำงานประชาสัมพันธ์รูปแบบต่างๆ มีการบรรจุในหลักสูตรเลยก็จะดี สอนเด็กนั้นง่ายกว่าสอนผู้ใหญ่มากนัก
ความเห็นที่ 8
เขียนได้โดนใจมากครับ ^-^ ระดับผู้บริหารนั่งห้องแอร์วางนโยบายตามความคิดตัวเองไม่ก็ลอกต่างชาติมาทั้งที่ไม่เคยลงมาคลุกคลีเข้าใจถึงปัญหาที่แท้จริง แต่เจ้าหน้าที่ระดับผู้ปฏิบัติงาน ทำงานแทบตายมีแต่เสมอตัวกับโดนด่า
ความเห็นที่ 9
ถึงแม้ว่าสังคมของเราจะลืมสิ่งเหล่านี้ไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ต้องช่วยกันสะท้อนเรื่องออกมาให้สังคมได้รับรู้ ซึ่งดีกว่าที่จะไม่ได้ทำอะไรเลย เยี่ยมครับ
ความเห็นที่ 10
หนังสือสารคดีน่าจะเวิร์คนะ o^^o
ความเห็นที่ 11
หนังสือสารคดีน่าจะเวิร์คนะ o^^o
ความเห็นที่ 12