กู้บทความเก่า: น้ำตกชันตาเถร (ชลบุรี) โดย นณณ์, สิงหาคม 2545
เรื่อง/ภาพ นณณ์ ผาณิตวงศ์
1 กันยายน 2545
วันอาทิตย์นี้มีธุระที่จะต้องไปทำแถวพัทยาครับ ไปตั้ง แต่เช้ากว่าจะได้กลับก็เกือบ 3 โมงเย็นแล้ว เนื่องจากวันนี้ได้ชวน ”คุณเธอ” มาตรากตรำลำบากในวัดหยุดด้วย เพื่อเป็นการขอบคุณที่อุตสาห์มาเป็น เพื่อนผมเลยสัญญาว่าจะพาไปดูฟาร์มผีเสื้อที่เห็นโฆษณาว่าใหญ่ที่สุดในเอเชียในตอนขากลับ ทุกอย่างก็เป็นไปด้วยดี วันนี้ขับรถไม่ง่วง และไม่หลงทาง ฟาร์มผีเสื้อแห่งนี้จะอยู่บนถนนช่วงที่กลับจากพัทยากำลังจะเข้ามอเตอร์เวย์อ่ะครับ แถวๆ สวนสัตว์เปิดเขาเขียวนั่นแหละ มองป้ายฟาร์มผีเสื้อไว้ครับ เลี้ยวตามนั้น ถ้ามาจากทางพัทยาก็ต้องเลี้ยวซ้ายเข้าไปกลับรถแล้วข้ามสะพานไปอีกฝาก ถ้ามาจากกรุงเทพฯ (ซึ่งๆ หน่อยสักชั่วโมงก็ถึง) ก็เลี้ยวซ้ายเข้าไปได้เลย สำหรับผมวันนี้พอลงสะพานปุ๊ป! ตาก็เหลือบไปเจอป้าย “น้ำตกชันตาเถร 8 กิโลเมตร “ เกิดมาไม่เคยรู้ว่ามีน้ำตกอยู่แถวนี้ด้วย ผมหันไปมองหน้าเธอ “ขอไปดูหน่อยนะไม่ไกล นะ” ด้วยความเอือมละอาเธอก็ตกลง เราขับตามป้ายไปเรื่อยๆ ซึ่งจะมีทางบอกไปตลอด จากตรงนี้เขาเขียวใหญ่ทมึนจริงๆ ครับ เราขับไปจนถึงแยกตัว Y ซึ่งถนนสองข้างก็ขนาดเท่ากันเดี๊ยะ มองซ้ายมองขวายังไงก็ไม่มีป้ายน้ำตก เห็น แต่ป้ายของ อ.บ.จ. อยู่ตรงกลาง และมีคนมือบอนเอาสีสเปรย์ไปพ่นอะไรไว้ก็ไม่รู้ พอเข้าไปดูใกล้ๆ ถึงต้องนึกขอบใจคนพ่น เพราะเป็นลูกศรชี้ไปทางขวาเขียนด้วยลายมือโย้เย้ว่า “น้ำตก” จากตรงนี้ขับไปได้อีกหน่อยจากสองข้างทางที่เป็นไร่อ้อยไร่มันก็จะเริ่มเป็นต้นไม้ใหญ่ร่มครึ้ม ขับไปฟังเพลง “นั่งสิจ๊ะที่รัก” ของ Monotone Group ไป พร้อมกับแหกปากร้องตาม ใครไม่เคยฟังเพลงนี้หาฟังซ่ะนะครับ สุดยอด ครวนได้เกือบๆ จะจบเพลงก็จะเจอที่จอดรถของหน่วยฯ จอดรถตรงนี้เดินไปตามถนนลาดยางอีกประมาณ 900 เมตรก็จะถึงตัวน้ำตกชันตาเถรครับ
สำหรับข้อมูลคร่าวๆ ที่ผมลอกมาจากป้ายที่น้ำตกมีดังนี้ครับ:
น้ำตกชันตาเถรเป็นน้ำตกที่สำคัญแห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรี อยู่ในบริเวณเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาเขียว-เขาชมภู่ มีสถานีศึกษาธรรมชาติ และสัตว์ป่า เขาเขียวเป็นหน่วยงานดูแลรับผิดชอบพื้นที่ น้ำตกชันตาเถรแบ่งเป็น 3 ชั้น คือ หุบตาเถร ชันตาเถร และสี่หลั่น น้ำตกจะมีความสวยงาม และมีน้ำมากในช่วงหลังฤดูฝนเล็กน้อย บรรยากาศสงบร่มรื่นเต็มไปด้วยพันธุ์ไม้ต่างๆ
โชคดีที่ผมเป็นคนชุ่ย วันก่อนไปจับปลาแล้วไม่ได้เอาสวิงออกจากท้ายรถ วันนี้เลยมีสวิงใช้ ผมคว้าอันเล็กๆ ไปได้อันนึงกะตู้เล็กๆ ไว้ถ่ายรูปอีกอัน อุปกรณ์กล้องนั้นไม่ต้องห่วง เพราะไปไหนมาไหนก็ติดไปด้วยอยู่แล้ว อาวุธครบมือผม และเธอก็มุ่งหน้าสู่น้ำตกชันตาเถรกัน เดินไปได้ไม่เท่าไหร่เราก็ต้องผ่านเจ้าหน้าที่ที่นั่งเฝ้าตรงทางเข้าอยู่ ลุงคงเห็นผมถือสวิงกะเร้อกะร่าเดินหน้างุดๆ เลยทักทาย “อะแฮ่ม ถืออะไรอยู่ครับ”, “สวิงครับ ขอไปจับปลามาถ่ายรูปในตู้แล้วปล่อยเลยครับ จริงๆ ครับ” ผมพูดพร้อมกับเอาตู้เล็กๆ และกล้องให้ดู ลุงคงเห็นผมหน้าซื่อๆ และจริงใจเลยปล่อยไป
900 เมตรตามถนนลาดยางไม่ใกล้เหมือนที่คิดแหะ เดินขึ้นเขาลงห้วยก็เหนื่อยเหมือนกันยิ่งรองเท้าเป็นแบบใส่เดินห้างมากกว่าที่จะเอามาใส่เดินอย่างนี้ผมเลยเดินไม่ค่อยถนัดสักเท่าไหร่ เจอใครเดินสวนผมก็จะคอยถามว่า “อีกไกลไม๊คร๊าบ” ถามได้ 3-4 กลุ่มในที่สุดก็ได้ยินเสียงน้ำไหล แว่บแรกที่เห็น คือลำธารขนาดเล็กๆ ไม่เกิน 3-4 เมตร มองไปมีเด็กน้อยยืนร้องไห้กระโดดเด่วๆ ไม่ยอมกลับบ้านอยู่หนึ่งคน “ไม่อาาาาาวววหนูจะเล่นน้ำต่ออ่าาาาาาา อยู่เป็น เพื่อนหน่อยน๊าาาาาาา” ในขณะที่คุณพ่อคุณแม่ก็พยายามหลอกล่อให้ลูกกลับบ้าน แว่บนึงในความคิดผมรู้สึกเดจาวู “เอ ตอนเด็กๆ ตูเคยทำอย่างนี้รึเปล่าหว่า? คุ้นๆ นา” อย่างไรก็ดีผมเป็นคนไม่รักเด็ก และทนเสียงร้องไห้เด็กไม่ค่อยได้ เลยเดินรี่เข้าไปหาเจ้าหนูน้อย คว้าข้อมือขึ้นมา “ป่ะ อยากอยู่ต่อไปกับพี่ก็ได้” เท่านั้นแหละครับ เจ้าเด็กน้อยทำหน้าเหล่อหล่า วิ่งไปหาพ่อแทบไม่ทัน เหอ เหอ
แกล้งเด็กเสร็จแล้ว ผมก็ถอดรองเท้าชวนเธอเดินทวนน้ำขึ้นไปอีกหน่อย ซึ่งก็จะถึงตัวน้ำตกชั้นแรก น้ำตกชั้นนี้เป็นน้ำตกเล็กๆ แคบๆ แต่สูงชัน ขนาดกว้างเต็มที่ก็คงไม่เกิน 2-3 เมตร ส่วนความสูงนั้นเหลือจะเดา พื้นเป็นหินเกรนิต ก้อนใหญ่ๆ และส่วนที่เหลือจะเป็นเม็ดทรายหยาบสีค่อนข้างอ่อน น้ำเป็นสีชาอ่อนๆ ตามประสาน้ำที่ไหลผ่านผื่นป่าที่มีซากพืชทับถ่มอยู่มาก ด้านซ้ายมือของน้ำตกมีหินก้อนใหญ่อยู่2ก้อน มองไปแล้วถ้าได้ถ่ายภาพจากตรงนั้นคงสวยดี ผมคว้ากล้อง G1 คู่ใจได้ก็ค่อยๆ ปีนขึ้นไป มุมดีจริงๆ ด้วย ผมก็เลยชวนเธอขึ้นมาดูบ้าง ถ่ายภาพเสร็จผมก็ลงไปเดินดูปลาในขณะที่เธอนั่งดูจากหินก้อนนั้น
ปลาที่เห็นวันนี้มีอยู่ชนิดเดียว เป็นพวกปลาค้อสีจืดๆ คง เพราะต้องปรับตัวให้เข้ากับทรายที่สีอ่อน พยายามจับอยู่นานสองนาน ด้วยความที่สวิงอันเล็กเหลือเกินเลยจับไม่ได้สักที ในที่สุดผมก็สังเกตว่าถ้าผมยืนนิ่งๆ ปลาจะเข้ามาซุกอยู่ที่เท้า ผมเลยค่อยๆ ต้อนให้เข้าสวิง พอเอาขึ้นมาดูก็พอจะเดาได้ว่าเป็นเจ้าปลาค้อเกาะช้าง Nemacheilus kohchangensis (H. M. Smith) ซึ่งมีถิ่นแพร่กระจายพันธุ์อยู่แถวนี้ ปลาชนิดนี้ถึงแม้จะเป็นปลาที่หาไม่ยากนักในถิ่นที่พบ แต่ก็มีลักษณะถิ่นที่อยู่ที่จำกัด คือชอบอยู่ตามลำธารน้ำไหลเท่านั้น บางครั้งปลาค้อเกาะช้างก็ถูกจับไปขายเป็นจำนวนมากๆ จน ทำให้น่ากลัวว่าปลาชนิดนี้จะสูญพันธุ์ไป ซึ่งก็เป็นที่น่ายินดีที่พบอยู่ในเขตอนุรักษ์แห่งนี้ ปลาชนิดนี้พบเป็นครั้งแรกในลำธารบนเกาะช้าง จึงมีชื่อวิทยาศาตร์ว่า kohchangensis หรือ เกาะช้างเอ็นสิส ซึ่งคำว่า ensis เนี๊ยเวลาตั้งชื่อพืชหรือสัตว์ก็จะใช้ต่อท้ายชื่อสถานที่ๆ พบสัตว์หรือพืชขนิดนั้นเป็นครั้งแรกครับ ปลาชนิดนี้เป็นปลาขนาดเล็ก เท่าที่พบวันนี้มีความยาวไม่เกิน 5-6 ซ.ม. สำหรับในที่เลี้ยงปลาในกลุ่มนี้ได้รับความนิยมบ้างตามสมควร และสามารถปรับตัวได้ดี ในตู้ที่น้ำใสไหลพอสมควร มีพื้นเป็นกรวดก้อนมนหรือทรายหยาบๆ มีหินขนาดใหญ่ มีซอกหลืบจากขอนไม้ให้หลบบ้าง และมีออกซิเจนละลายสูงๆ หน่อย โดยปลาพวกนี้จะชอบกินอาหารเป็น พวกไส้เดือนแดง หนอนแดง ไรทะเล แต่ก็สามารถฝึกให้กินอาหารเม็ดได้เหมือนกัน จับไปจับมาผมก็ได้ลูกปลาในตระกูลปลาช่อนปลาชะโด (Chana) มาอีกตัว เนื่องจากปลามีขนาดเล็กมากเลยเอาแน่กับชนิดไม่ได้ แต่ถ้าให้เดาก็คงจะเป็น Channa limbata หรือปลาก้างซึ่งเป็นปลาในตระกูลปลาช่อนขนาดเล็กที่พบอยู่ในแหล่งน้ำไหลทั่วๆ ไป ผมจัดการถ่ายรูปปลาทั้ง 2 ไว้แล้วก็ปล่อยไป ผมถ่ายในตู้เสร็จก็เลยจะลองถ่ายใต้น้ำดูบ้าง
ถึงตรงนี้เธอก็เริ่มเบื่อแล้วครับ อยากจะลงมาจากหินก้อนนั้นแล้ว แต่ลงไม่ได้ ผมเลยวางกล้องแล้วกระโดดชึ๊บๆ ขึ้นไปหวังใจว่าจะช่วยเธอลงมา แต่เมื่อผมเหยียบก้าวต่อไป ผมก็พลาดลื่นหน้าคว่ำลงไปกะหิน ไหลลงไปพักหนึ่งแอ๊กนึกว่าจะหยุดยังไม่ทันคว้าอะไรได้ ก็ไหลต่ออีกหนึ่งแอ๊กกะว่าประมาณแอ๊กละเมตรสองเมตรลงไปกองอยู่ในแอ่งน้ำเบื้องล่าง เจ็บสิครับ หลังจากนอนตั้งสติอยู่พักนึงว่าเกิดอะไรขึ้น ผมก็เริ่มสำรวจตัวเอง หัวยังอยู่บนบ่า ขาแขนไม่แตกไม่หัก เจ็บเข่ามองไปเลือดอาบ เจ็บแขนขวาเป็นรอยแผล เจ็บนิ้วกลางเท้าซ้ายอู้ยยยแผลลึกถึงหัวใจ นอกนั้นก็ไม่เป็นไร ถึงตรงนี้เธอลงเองได้เรียบร้อยมาช่วยประคองผมให้นั่งขึ้นมา แล้วผมก็นึกได้ว่าโทรศัพท์มือถือยังอยู่ในกระเป๋ากางเกง ควักออกมาเห็นยังติดอยู่ปกติก็ค่อยยังชั่ว เลยจัดแจง ถอดถ่านออกวางตากไว้
เลือดอาบเข่า ผมยังมุ่งมั่นที่จะถ่ายรูปปลาค้อใต้น้ำให้ได้ ก้มๆ เงยๆ อยู่อีกสักพักก็เริ่มมีเสียงกระแอมจากหินข้างๆ “แค่ะ แค่ะ เบื่อแล้วน๊าาาาาา กลับเหอะ” “อีกแป๊ปๆ ” ก้มๆ เงยๆ สักพักก็มีเสียงจากหินก้อนเดิม “เบื่อแล้วน๊าาาาาา กลับเหอะ” “อีกแป๊ปๆ ยังไม่ชัดเลย เอาใส่เว็บอายคนเค้าตาย” ว่าแล้วก็กลับไปก้มๆ เงยๆ อีกสักพักก็มีเสียงมาจากหินอีก “เบื่อแล้วน๊าาาาาา กลับเห๊อะะะะะะะ” ว่าพลางแก้มก็เริ่มป่องมือก็เริ่มเก็บของ ผมเหลือ แต่ไม้ตายสุดท้าย กระโดดเด่วๆ “ไม่อาาาาาวววหนูจะเล่นน้ำต่ออ่าาาาาาา อยู่เป็น เพื่อนหน่อยน๊าาาาาาา”
“ไม่เอาเบื่อแล้ว กลับได้แล้ว”
“จ้า.............”
หมายเหตุ: หลังจากกลับมาแล้ว คุณชัยวุฒิบอกผมว่าแถวนี้ยังมีปลาอีกหลายชนิด และที่น่าสนใจก็ คือเจ้าปลากัดหัวโม่ง Betta prima และ ปลาม้าลายมุก Branchydanio alboliniatus ซึ่งเจ้าตัวหลังนี่น่าสนใจมากว่าจะมีสีสันแตกต่างจากญาติๆ ที่ผมไปเจอมาจากสระบุรี และกาญจนบุรีอย่างไร
Special Thanks:
เธอ ที่อดไปฟาร์มผีเสื้อ เพื่อไปเที่ยวน้ำตกชันตาเถรกะผม
คุณโทนี่ที่ช่วย ID ปลาให้
คุณชัยวุฒิสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
Comments
ความคิดเห็น
ความเห็นที่ 1
สวัดดีจ้าชาวโลกทุกท่านเราเห็นรูปที่ลงในนี้นึกดูบ้านเรามีอะไรอีกมากมายที่พวกเราต้องรักษาเพื่อคนรุ่นหลังไว้ได้เรียนรู้และพัฒนาแบบสร้างสรรจะได้อยู่กันแบบมีความสุขทุกที่(คนหลังเขาจ้า)
ความเห็นที่ 2
อยากจะบอกว่า งมทางไปตั้งนานกว่าจะไปถึง
ป้ายบอกทางไปสนามกอล์ฟ ยังเยอะกว่าป้ายบอกทางไปน้ำตกอีก
เห็นแล้วท้อ